Pi Daily เตือน! แม้ทรัมป์ผ่อนปรนประเทศอื่น แต่โลกยังเสี่ยง เศรษฐกิจมี Downside หลังสหรัฐฯ ขึ้นภาษีจีนพุ่ง 145%
วันที่ 11 เมษายน 2568 บล.พาย เผยว่า ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 1014 จุด (-2.5%) นักลงทุนกังวลว่าการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนจะส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 3.28% ถูกกดดันจากอุปสงค์ที่จะหายไปจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน
เมื่อคืนที่ผ่านมาเกิดหลากหลายเหตุการณ์ประกอบไปด้วย ช่วงแรกสหรัฐฯได้รายงานเงินเฟ้อประจำเดือน มี.ค. ขยายตัวเพียง 2.4%YoY ต่ำกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดหมายไว้ที่ 2.5%YoY แรงหนุนหลักๆแล้วที่ทำให้เงินเฟ้อยังมิได้สูงมากนักมาจากพลังงานเพราะราคาพลังงาน (-3.3%YoY) น้ำมันเบนซิน (-9.8%YoY) แม้สินค้าอื่นๆจะขยายตัวบ้างเล็กน้อย แต่ก็มิได้ทำให้เงินเฟ้อปรับขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญแต่ทั้งนี้ด้วยเงินเฟ้อสหรัฐฯที่ขยายตัวมิได้สูงมากนัก แต่พบว่าตลาดหุ้นกลับปรับลงซึ่งแท้จริงแล้วตลาดหุ้นควรจะปรับขึ้นจากการคลายกังวลเงินเฟ้อ สาเหตุอาจเป็นเพราะในช่วงเวลาถัดมาทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 145% จากก่อนหน้าที่ 125% สวนทางกับข่าวดีจากฝั่ง EU ที่ได้ประกาศยกเลิกภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯออกไปอีก 90 วัน ทำให้เม็ดเงินวิ่งกลับไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย (US Bond Yield ปรับลง , ราคาทองคำปรับขึ้นแรง) ซี่งสอดคล้องกับที่เราตั้งข้อสังเกตไว้เมื่อวานว่าให้ระมัดระวังตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมาอาจจะยังมีความเสี่ยงอยู่
โดยเช้านี้ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับลง 5% ซึ่งอาจจะสร้างแรงกดดันมายังตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ทั้งนี้ด้วยสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศที่ยังรุนแรง ทำให้ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกยังคงดำเนินต่อไปจากนี้เป็นไปได้ที่อาจเห็นจีนตอบโต้กลับ และหลังจากนี้ก็ยังไม่เป็นที่แน่ใจว่าภาษีที่ระงับการปรับขึ้นออกไป 90 วันจะกลับมาใช้อีกหรือไม่หากวันใดวันหนึ่งกลับมาประกาศใช้ก็จะเป็นปัจจัยกดดัน ปัจจัยติดตามคืนนี้ได้แก่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 0.2%MoM , 54 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ผลต่อตลาดหุ้นอาจจำกัดเพราะนักลงทุนกังวลกับความเสี่ยงสงครามการค้ามากกว่า วันนี้ประเมิน SET INDEX เสี่ยงปรับฐานในกรอบ 1090 – 1140 ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์การลงทุนการเก็งกำไรระยะสั้นอาจต้อง Wait & See เพื่อรอดูความชัดเจนและไม่ควรถือหุ้นข้ามช่วงวันหยุดสงกรานต์เพราะสถานการณ์มีความไม่แน่นอนสูง
โดยตลาดหุ้นไทยจะเปิดทำการอีกทีในวันพุธ (16 เม.ย.) แต่หากเป็นนักลงทุนระยะกลาง - ยาว Valuation หุ้นไทยมิได้แพงมาก อาจเลือกสะสมในหุ้นที่เป็น Domestic Play และไม่แพงรวมไปถึงผลกระทบจากสงครามการค้าจำกัด อาทิ โรงพยาบาล (BDMS) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) การเงิน (MTC TIDLOR)
CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)
แนวโน้ม SSSG มีทิศทางแข็งแกร่งกว่ากลุ่มต่อเนื่อง คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 6.5 พันล้านบาท (+8%YoY, -6%QoQ) หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่คาดเติบโต 2% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +0.5% และ Lotus’s +0.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่อง
BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท)
มีกำหนดเปิดโรงพยาบาลใหม่ 3 แห่ง ได้แก่ Samitivej International Children (111 เตียง) ใน 1Q25, Bangkok Chiangmai (90 เตียง) และ Phayathai Bowin (220 เตียง) ขณะเดียวกันผู้บริหารตั้งเป้าขยายรายได้ใน 1H25 สูงขึ้นที่ 7-8% YoY โดยดัน EBITDA Margin อยู่ที่ 24-25% สูงขึ้นกว่าเดิมที่คาดการณ์ไว้ +1 ppts
#บลพาย #ข่าววันนี้ #ทรัมป์ #ภาษี #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #สงครามการค้า #ราคาทอง