สำหรับบิน EVA Air (อีวีเอแอร์) สายการบินของไต้หวันได้ลงนามในคำสั่งซื้อเครื่องบินแบบพิสัยไกลรุ่น เอ350-1000 (A350-1000) จำนวน 6 ลำ และเครื่องบินแบบทางเดินเดี่ยวรุ่น เอ321นีโอ (A321neo) จำนวน 3 ลำ โดยข้อตกลงครั้งนี้ถือเป็นการสรุปการสั่งซื้อที่ได้ประกาศไว้เมื่อเดือนมีนาคม 2568 คำสั่งซื้อครั้งใหม่นี้จะทำให้ยอดเครื่องบินที่รอส่งมอบของ EVA Air สำหรับรุ่น A350-1000 เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 24 ลำ และรุ่น A321neo เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 18ลำ

โดย นายเคลย์ ซุน  ประธานของสายการบิน EVA Air กล่าวว่า การเพิ่มจำนวนเครื่องบินรุ่นใหม่เข้าสู่ฝูงบินของเราในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการดำเนินธุรกิจการบินอย่างยั่งยืน และการมอบประสบการณ์การเดินทางที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้โดยสาร ทั้งเครื่องบินรุ่น A350-1000 และ A321neo นั้นต่างได้สร้างมาตรฐานที่สูงให้สำหรับเครื่องบินในแต่ละประเภท โดยมอบทั้งประสิทธิภาพที่โดดเด่นและความสะดวกสบายเหนือระดับสำหรับผู้โดยสาร

นอกจากนี้จะได้ใช้ประโยชน์จากศักยภาพด้านพิสัยบินและความมีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมของเครื่องบินเหล่านี้ ในการดำเนินแผนการขยายฝูงบินและเครือข่ายเส้นทางบิน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานะของอีวีเอแอร์ในตลาดอุตสาหกรรมการบินด้วย

ด้าน นายเบอนัวต์ เดอ แซงต์-เอกซูเปรี รองประธานบริหารฝ่ายขาย ธุรกิจเครื่องบินพาณิชย์ของแอร์บัส กล่าวว่า คำสั่งซื้อใหม่ของ EVA Air สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมอย่างต่อเนื่องของเครื่องบิน A350-1000 ซึ่งเป็นผู้นำด้านพิสัยบินไกลและเป็นเครื่องบินที่ได้สร้างมาตรฐานให้กับการบินระหว่างทวีป  รวมถึง A321neo ในฐานะผู้นำด้านประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมสำหรับการบินในระดับภูมิภาค ซึ่งการที่ EVA Air ได้ให้ความไว้วางใจต่อเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุดเหล่านี้จึงทำให้แอร์บัสพร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อให้การผสานรวมเครื่องบินเข้ากับฝูงบินของสายการบินเป็นไปอย่างราบรื่น เพื่อพัฒนาสู่ความสำเร็จในอนาคต

สำหรับ A350 เป็นเครื่องบินโดยสารแบบลำตัวกว้างที่มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก โดยได้ยกระดับมาตรฐานใหม่ให้กับการเดินทางระหว่างทวีป โดยมีพิสัยการบินไกลที่สุดในบรรดาเครื่องบินพาณิชย์ที่มีการผลิตอยู่ในปัจจุบัน และขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดจากโรลส์-รอยซ์ ทำให้เครื่องบินรุ่นนี้สามารถบินต่อเนื่องได้ไกลถึง 9,700 ไมล์ทะเล หรือประมาณ 18,000 กิโลเมตร โดยใช้เชื้อเพลิงน้อยกว่าเครื่องบินรุ่นก่อนหน้าถึง 25 เปอร์เซ็นต์ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ในระดับที่ใกล้เคียงกัน เช่นเดียวกับเครื่องบินแอร์บัสทุกรุ่น A350 สามารถใช้งานร่วมกับเชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (SAF) ได้สูงสุดถึง 50 เปอร์เซ็นต์ และแอร์บัสมีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้เครื่องบินของบริษัทสามารถรองรับการใช้ SAF ได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2573

โดย เครื่องบินตระกูล A350 ได้รับคำสั่งซื้อรวมแล้วมากกว่า 1,360 ลำ จากลูกค้าจำนวน 60 รายทั่วโลก โดยปัจจุบันได้มีเครื่องบินตระกูลนี้มากกว่า 640 ลำให้บริการอยู่ในฝูงบินของ 38 สายการบิน ซึ่งเครื่องบินส่วนใหญ่ให้บริการในเส้นทางบินระยะไกล

ขณะที่ A321neo เป็นสมาชิกของเครื่องบินในตระกูล เอ320นีโอ (A320neo) ซึ่งผสานเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เจเนอเรชันใหม่ ปลายปีกแบบชาร์คเลท (Sharklet) และองค์ประกอบที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพภายในห้องโดยสาร ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้เครื่องบินสามารถประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ โดยนับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2559 เครื่องบิน A321neo ได้มียอดคำสั่งซื้อแล้วมากกว่า 6,800 ลำ จากลูกค้ากว่า 90 ราย และครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์