‘พิชัย’ เผย เจรจา FTA ไทย-EU รอบ 5 คืบหน้าอีกขั้น เร่งปิดดีลสิ้นปีนี้ จับมือเป็นพันธมิตรการค้าที่แน่นแฟ้น
วันที่ 9 เมษายน 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากนางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ว่าการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป (EU) รอบที่ 5 ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม – 4 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา มีความคืบหน้าที่ดี เป็นไปใน
ทิศทางบวกและเป็นที่น่าพอใจของทั้งสองฝ่าย โดยสามารถสรุปเพิ่มในหลักการได้อีก 2 บท คือ บทพิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Custom Trade Facilitation: CTF) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกันที่จะช่วยให้พิธีการด้านศุลกากรมีประสิทธิภาพและทันสมัย และบทระบบอาหารที่ยั่งยืน (Sustainable Food System: SFS) ซึ่งเป็นเรื่องความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระบบอาหารให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน รวมถึงการเจรจากลุ่มอื่นๆ ก็มีความคืบหน้าไปมากเช่นกัน
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้เริ่มเจรจาการเปิดตลาดการค้าสินค้าระหว่างกันแล้วในรอบนี้ และได้กำหนด
การแลกเปลี่ยนข้อเสนอการเปิดตลาดการค้าบริการและการลงทุนฉบับแรกในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2568
จึงนับว่าเป็นก้าวสำคัญของการเจรจา พร้อมกับกำหนดงานที่แต่ละกลุ่มจะต้องมีการหารือในระหว่างรอบ ก่อนการเจรจารอบที่ 6 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 – 27 มิถุนายน 2568 ณ ประเทศไทย เพื่อให้การเจรจารอบต่อไปมีความคืบหน้าให้มากที่สุด
นายพิชัย เพิ่มเติมว่า หลังจากการเจรจารอบนี้เสร็จสิ้น กรรมาธิการยุโรปด้านการค้า (นายมารอส เซฟโควิช) ได้ส่งข้อความมาแสดงความยินดีกับตนที่การเจรจามีความคืบหน้ามาก สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจและความมุ่งมั่นร่วมกันของทั้งสองฝ่ายในการผลักดันความตกลง FTA ไทย-EU ให้เดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกรรมาธิการยุโรปฯ ยังแสดงความพร้อมที่จะทำงานร่วมกับไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งสรุปผลการเจรจาให้ได้โดยเร็วที่สุด ภายในวันที่ 25 ธันวาคม 2568 อันจะเป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนของทั้งสองฝ่ายในอนาคต
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ของโลกในปัจจุบัน กอปรกับการประกาศขึ้นภาษีของสหรัฐฯ
ต่อประเทศต่างๆ รวมทั้งไทย ตลอดจนข้อห่วงกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อการค้าโลกในอนาคต ไทยกับ EU จึงเห็นพ้องกันว่าการเป็นพันธมิตรทางการค้าที่เชื่อถือได้และคาดการณ์ได้เป็นสิ่งจำเป็น และทำให้การเร่งเดินหน้าเจรจา FTA ไทย-EU ยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการขยายโอกาสทางการค้าของไทย และการหาตลาดใหม่ในต่างประเทศ โดยให้เร่งรัดสรุปผลการเจรจา FTA ให้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อดึงดูดการลงทุนและขยายการค้าของไทยออกสู่ตลาดโลก
สำหรับปี 2567 EU เป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทย รองจากจีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยการค้าระหว่างกันมีมูลค่ารวม 43,532.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 4.26 โดยไทยส่งออกไปยัง EU มูลค่ารวม 24,205.09 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 10.23 และนำเข้าจาก EU รวมทั้งสิ้น 19,327.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 2.16 เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 8.50 ทั้งนี้ ไทยได้เปรียบดุลการค้า 4,877.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
#กระทรวงพาณิชย์ #ข่าววันนี้ #เอฟทีเอ #EU #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์