สะพัด! ทักษิณ ฮึ่ม! เตือนแกนนำพรรคร่วมฯ เมินโหวตหนุนร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์เตรียมขับพ้นรัฐบาล ส่วน สรวงศ์ ปัดข่าวทันควัน แจงคุยวิปรัฐบาลแล้ว ไม่ใช่ความจริง ด้าน ธนกร ย้ำจุดยืน รทสช. ค้านร่างนิรโทษกรรมล้างผิด ม.112-คดีโกง ลั่น ไม่ยอมให้ใครล้างผิดพวกหมิ่นเบื้องสูง ชี้ เห็นด้วยแค่คดีการเมือง-เหตุไม่รุนแรง เรืองไกร บุกร้อง ป.ป.ช. สอบ นายกฯแพทองธาร ปมตั๋วสัญญาใช้ เงิน 4.4 พันล้าน อาจเข้าข่ายหนีภาษี พ่วง อธิบดีสรรพากร เข้าข่ายผิด ม.154
เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2568 นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รองหัวหน้าพรรคและสส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ในวันพุธที่ 9 เมษายนนี้ สภาผู้แทนราษฎรจะมีการพิจารณา ร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรมฯ ทั้ง 4 ฉบับ โดยตนและสส. พรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้ง 36 คน พร้อมให้การสนับร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. ..ที่นายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส.ชุมพร กับคณะพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นผู้เสนอ อย่างเต็มที่ เพราะร่างของรทสช. ได้พิจารณาจากคดีทางการเมืองที่มีโทษไม่รุนแรงถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตและพิจารณาให้ทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายการเมือง ไม่เลือกปฏิบัติ และต้องไม่รวมคดีการทุจริตประพฤติมิชอบ โดยมั่นใจว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวของ รทสช.จะสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ทางการเมืองทำให้ประเทศชาติเกิดสันติสุขได้จริง
ทั้งนี้ นายธนกร ประกาศย้ำจุดยืน ว่ากฎหมายนิรโทษกรรมทางการเมืองจะต้องไม่มีการล้างผิดยกโทษให้ผู้ที่กระทำความผิดคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ตามที่มีบางพรรคการเมืองเสนอเข้ามา เพราะถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งตนในฐานะสส.พรรครวมไทยสร้างชาติ และเชื่อว่าสส.ทุกพรรคผู้ที่มีความจงรักภักดี ไม่เห็นชอบให้ยกโทษแก่คดีร้ายแรงดังกล่าวอย่างแน่นอน
ผมย้ำจุดยืนชัดเจนมาตลอด คัดค้านไม่เอาด้วยที่จะมีการนิรโทษกรรม ยกโทษความผิดให้กับพวกหมิ่นสถาบันเบื้องสูงเพราะ เป็นความผิดร้ายแรงทำร้ายจิตใจคนไทยทั้งชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง สส.ทุกคน ทุกพรรคไม่เห็นด้วยแน่นอน ยกเว้นแค่บางพรรคที่เสนอเข้าสภามา ซึ่งก็เชื่อว่าเมื่อถึงวาระพิจารณาของพรรคนี้ ก็จะถูกคว่ำไม่มีใครเห็นชอบแน่นอน หากจะเริ่มต้นการเมืองให้สร้างสรรค์ปรองดองและยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ก็ต้องยึดความถูกต้องด้วย นายธนกร ระบุ
ขณะเดียวกัน รายงานข่าวแจ้งว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กำชับไปที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ให้โหวตรับหลักการในวาระแรก ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรฯ ที่จะเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระแรก วันที่ 9 เม.ย.นี้ หากพบว่าพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหนแตกแถว จะพิจารณาให้ออกจากรัฐบาลทันที
ด้าน นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ถึงกรณีดังกล่าวว่า เดี๋ยวนี้ใครก็บอกได้ว่าเป็นแหล่งข่าว การพูดเช่นนี้ใครก็พูดลอยๆ ได้ และความเสียหายก็เกิดขึ้นกับพรรค ซึ่งตนถามว่ามีหลักฐานอะไร เมื่อมีข่าวออกมา พวกตนก็ต้องมานั่งแก้ข่าวกัน ซึ่งไม่โอเค
"เอาตามที่สบายใจ เพราะพวกผมทำอะไรไม่ได้ หลังจากที่มีข่าวออกมาแล้ว พวกเราก็ต้องมานั่งแก้ข่าวว่าไม่ใช่ความจริง ส่วนคนจะเชื่อหรือไม่เชื่อในส่วนนี้พวกผมก็ไปห้ามไม่ได้ ฉะนั้นเวลาที่มีการบอกว่าแหล่งข่าวรายงานว่า ถามว่าแหล่งข่าวไหน แบบนี้พวกผมก็บอกว่าแหล่งข่าวรายงานว่าพวกผมคุยกับฝ่ายค้านเรียบร้อยแล้วได้ แต่ความจริงเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ จึงบอกว่าการทำการเมืองเช่นนี้มันย้อนกลับไป อยู่ดี ๆ คิดจะพูดอะไรก็พูดได้ มันไม่ถูก เพราะมั่นใจว่าท่านทักษิณไม่ได้ไปให้สัมภาษณ์ที่ไหน แต่เมื่อข่าวออกมาเช่นนี้คนที่เจ็บก็คือพวกผม" นายสรวงศ์ กล่าว
เมื่อถามย้ำว่า ต้องมีการพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่นหรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า ในคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ได้มีการพูดคุยกันแล้ว อย่าเอานายทักษิณเข้ามาเกี่ยว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พท.ก็ได้มีการเชิญพรรคร่วมรัฐบาลเข้ามาพูดคุยกันแล้ว เมื่อมีข่าวออกมาว่านายทักษิณประกาศว่าหากใครไม่เห็นด้วยจะขับออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ถามว่าหลักฐานอยู่ไหน และไม่มีใครมาพูดเช่นนี้อยู่แล้ว
ทางด้าน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผ่านไป ตนสนใจเรื่องหนี้สินที่เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินของนายกรัฐมนตรีจำนวน 9 ฉบับ มูลค่ารวม 4,434 ล้านบาทเศษ โดยไม่มีระยะเวลาและไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย ซึ่ง สส. ที่อภิปรายเรื่องนี้ กล่าวหาว่า เรื่องนี้เป็นนิติกรรมอำพรางเพื่อหนีภาษีจากการให้มาเป็นการซื้อขายโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) แทน
นายเรืองไกร กล่าวว่า สส. ผู้อภิปรายกล่าวหาว่า เรื่องนี้ควรเป็นการรับหุ้นจากเครือญาติซึ่งเข้าลักษณะตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (27) ที่ต้องเอาเงิน 4,434 ล้านบาทเศษ หักด้วย 20 ล้านบาท แล้วนำยอดที่เหลือไปเสียภาษี ในอัตราร้อยละ 5 แต่หากนายกรัฐมนตรีไม่ทำตามกฎหมาย ก็อาจเป้นการหนีภาษีด้วยการทำเป็นการซื้อหุ้นและออก P/N โดยไม่มีกำหนดชำระและไม่มีดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นตัวอย่างให้คนอื่นหนีภาษีในลักษณะดังกล่าวได้ กรณีจึงน่าเชื่อว่าเป็นการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหนีภาษีจากการรับให้ตาม มาตรา 42 (27)
นายเรืองไกร กล่าวว่า เรื่องนี้ ทำให้สาธารณชนวิพากวิจารณ์กันมาก จนนายกรัฐมนตรีบอกว่าในปี 2569 จะมีการไปเสียภาษี และอธิบดีกรมสรรพากรออกมาแสดงความเห็นว่า การทำ P/N นั้น ทำได้
นายเรืองไกร กล่าวว่า กรณีดังกล่าว หากศึกษาประมวลรัษฎากรและแนวคำพิพากษาศาลฎีกา จะเห็นได้ว่า นายกรัฐมนตรีอาจเข้าข่ายมีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 50 (9) และฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นหน้าที่และอำนาจของ ป.ป.ช. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1)
นายเรืองไกร กล่าวว่า จากการยื่นบัญชีหนี้สินอื่นเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน 9 ฉบับ นั้น น่าจะเข้าข่ายทำนิติกรรมอำพรางเพื่อไม่เสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (27) ซึ่งถือเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (8) ที่มีกำหนดไว้ให้กรอกอยู่ในแบบ ภงด.90 หรือ ภงด. 94 ของกรมสรรพากรแล้ว และจะต้องเสียภาษีภายในเดือนมีนาคม ของปีถัดไป
นายเรืองไกร กล่าวว่า แต่หากมีการต้องเสียภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (27) ตามที่ถูกกล่าวหา เมื่อนำมาตราต่าง ๆ ในประมวลรัษฎากรมาใช้คำนวณภาษีลงในตาราง Excel อาจจะทำให้นายกรัฐมนตรีต้องเสียภาษีพร้อมเบี้ยปรับสองเท่ารวมเป็นเงินประมาณ 659 ล้านบาทเศษ ทั้งนี้ ยังไม่คิดเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน รายละเอียดปรากฏในตาราง Excel ที่แนบมาด้วย
นายเรืองไกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี จะหนีภาษีตามที่ถูกกล่าวหา หรือไม่ ก็ต้องขอให้ ป.ป.ช. ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ว่า นายกรัฐมนตรีมีความผิดตามที่ถูกกล่าวหา หรือไม่ เพื่อส่งให้ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 ต่อไป
นายเรืองไกร กล่าวว่า สำหรับอธิบดีกรมสรรพากร ก็ต้องขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบด้วยว่า การออกความเห็นดังกล่าว เข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 154 หรือไม่
นายเรืองไกร กล่าวสรุปว่า วันนี้ ตนจึงส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบนางสาวแพทองธาร ว่ามีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ หรือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) กรณีแจ้งหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินต่อ ป.ป.ช. รวม 9 ฉบับ มูลค่า 4,434 ล้านบาทเศษ ที่อาจเข้าข่ายเป็นการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อไม่ทำหน้าที่เสียภาษีอากรตามที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (27) กำหนด อันอาจฝ่าฝืนหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 50 (9) หรือไม่ และตรวจสอบอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับการไม่เก็บภาษีจากกรณีดังกล่าว จะเข้าข่ายมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 154 หรือไม่
นายเรืองไกร กล่าวว่า ตาราง Excel จะเป็นตัวอย่างเพื่อเป็นแนวทางในการคำนวณภาษีเฉพาะตั๋ว P/N รวม 9 ฉบับ เท่านั้น แต่เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นกับการมีหุ้นอีก 2 บริษัท คือ หุ้นบริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) จำนวน 5,000,000 หุ้น มูลค่ารวม 102,500,000 บาท และหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,176,915,495 หุ้น มูลค่ารวม 3,483,669,865.20 บาท ซึ่งไม่แสดงวันเดือนปีที่ได้มา ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นั้น จึงขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบหุ้นทั้งสองตัวนี้ว่า ได้มาอย่างไร ทำไม จึงไม่มีการทำ P/N ไว้ หุ้นดังกล่าวได้มาโดยวิธีใด เป็นการได้มาตามมาตรา 42 (27) หรือได้มาโดยการนำเงินจากที่ใดมาซื้อหุ้นดังกล่าว