วันที่ 7 มีนาคม 2568 นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังสถานเอกอัครราชทูตลาวประจำประเทศไทย เพื่อร่วมลงนามแสดงความไว้อาลัยต่อการถึงแก่อสัญกรรมของ พลเอก คำไต สีพันดอน อดีตประธานประเทศลาว ซึ่งถึงแก่อสัญกรรมด้วยวัย 101 ปี โดยนายจักรภพระบุว่า เป็นวัยที่ถือเป็นอายุมงคล

นายจักรภพกล่าวว่า พล.อ.คำไต เป็นประธานประเทศลาวคนที่ 4 ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2535–2549 ก่อนจะลงจากตำแหน่ง โดยผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าคือ ท่านประธานหนูฮัก พูมสะหวัน ซึ่งเป็นผู้นำเปิดสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 1 ในช่วงที่ พล.อ.คำไต อยู่ในตำแหน่ง

ทั้งนี้ อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวด้วยว่า ในช่วงเวลาที่ พล.อ.คำไต ดำรงตำแหน่ง เป็นยุคที่ประเทศลาวเริ่มเปลี่ยนผ่านจากระบอบคอมมิวนิสต์แบบเข้มข้น สู่แนวทางเปิดประเทศ ยอมรับกลไกทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยม พร้อมกับการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านและประชาคมระหว่างประเทศ โดยยังคงยึดอุดมการณ์ดั้งเดิมบางส่วนไว้ โดยอาจกล่าวได้ว่า ท่านต้องเปลี่ยนประเทศถึง 180 องศา จาก 360 องศา

นอกจากนี้ นายสอนไซ สีพันดอน ซึ่งเป็นบุตรชายของ พล.อ.คำไต ก็ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของลาว ก็ ยิ่งตอกย้ำถึงบทบาทและอิทธิพลของ พล.อ.คำไต ที่ยังมีอยู่ในเชิงโครงสร้างทางอำนาจของประเทศ ซึ่งนายจักรภพระบุว่า สถานการณ์ในลาวอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต แต่ยังไม่สามารถประเมินทิศทางได้แน่ชัด

“นี่คือการเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศลาว แต่จะส่งผลบวกหรือลบต่อประเทศไทย ขึ้นอยู่กับนโยบายและวิธีการดำเนินการของเราด้วย” นายจักรภพ กล่าว

นอกจากนี้ นายจักรภพ ยังชี้ให้เห็นถึงบริบทระดับโลก โดยเฉพาะการที่สหรัฐอเมริกาประกาศสงครามการค้า ส่งผลให้หลายประเทศต้องวิ่งเข้าไปเจรจาเพื่อความอยู่รอด โดยกล่าวว่า ปัญหาปากท้องไม่ได้ผูกติดกับเจ้าพ่อทุนนิยมเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับเพื่อนบ้านใกล้ชิดของเรา เพราะสินค้าและบริการ โดยเฉพาะปัจจัย 4 และปัจจัยที่ 5 อย่างโทรคมนาคม มีสายโซ่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านมากกว่าประเทศที่ห่างไกล

“ขณะนี้เกิดปรากฏการณ์ใบไม้ร่วงทีละใบของผู้นำ ขณะเดียวกันโลกก็เปลี่ยนไปอย่างไม่มีแผนที่ที่แน่ชัด ใบไม้ร่วงเพียงหนึ่งใบ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้” นายจักรภพ กล่าว