กรณีสาวรายหนึ่งถูกแม่ผัวกีดกันไม่ต้อนรับเป็นลูกสะใภ้ ตอนท้องก็ไม่เคยพูดเรื่องพาเข้าบ้าน กระทั่งคลอดลูกได้เดือนเดียว แม่ผัวกับอดีตสามีใช้กำลังแย่งเด็กไปต่อหน้าต่อตา หญิงสาวรู้แรงไม่ไหว ออกมาร้อง “ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง” ขอความเป็นธรรม ซึ่งเมื่อวานนี้ สาวรายดังกล่าวได้ขีดเส้นตายเอาไว้ หากฝ่ายชายไม่นำลูกมาคืนจะไปแจ้งความข้อหาพรากผู้เยาว์ เอาให้สุดซอย  

รายการ โหนกระแส วันที่ 4 เม.ย. ดำเนินรายการแทน “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.35 น. ทางช่อง 3 กดหมายเลข 33 สัมภาษณ์ “เอ” (นามสมมติ) ผู้เสียหาย , ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง , ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข และ ทนายแก้ว ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล

เมื่อวานหลังจบรายการ มีอะไรเป็นรูปธรรมขึ้นบ้างมั้ย?

เอ :   พอมีสัญญาณตอบรับจากฝั่งโน้นบ้าง แต่ก็สรุปง่ายๆ ไม่ได้น้องคืน ไม่ได้เห็นภาพความเคลื่อนไหวอะไร ยังนิ่งอยู่เหมือนเดิมค่ะ เขาไม่ได้ติดต่อหนูโดยตรงแต่ไลน์หาพี่ชายที่บ้าน บอกว่าทำไมตัวหนูไม่ทำตามสัญญา หนูผิดสัญญาอีกแล้ เขายึดสัญญานั้นที่เป็นโมฆะ ทางพี่ชายก็แนะนำว่าให้เราคุยกับเขาดีๆ เรามีความประสงค์จะเอาน้องมาเลี้ยงเองแล้ว หนูก็ไม่มีโอกาสได้คุย เพราะเขาไม่ได้ติดต่อหนูโดยตรงเลย

พี่ชายได้ตอบกลับไปมั้ย?

เอ : ตอบแค่พอเป็นพิธีค่ะ เพราะเขารู้สึกว่าให้การตัดสินใจนี้เป็นเรื่องของหนูแล้วดีกว่า เขาก็เคารพการตัดสินใจของหนู

หนูเพิ่งคลอดเดือนเดียว?

เอ : เดือนเศษค่ะ

ทำไมดูผอมมาก?

เอ : เครียดทุกวัน เครียดตั้งแต่ท้องจนถึงวันคลอด ทุกวันนี้ไม่มีวันไหนไม่เครียดเลยค่ะ ทานได้น้อย ไม่มีความสุขในชีวิต

ต้นอ้อดำเนินการอะไรไปบ้าง?

ต้นอ้อ : พาน้องไปสน.ประเวศ น้องแจ้งความไว้อยู่แล้วเรื่องฝ่ายชายทำร้ายร่างกาย แต่น้องไม่ได้ตรวจร่างกายตอนมีรอยฟกช้ำ แล้วแจ้งข้อหาเพิ่มคุณย่า ระหว่างเราเดินทางไปแจ้ง ทนายความฝั่งนั้นติดต่อมาทางทนายความน้อง โทรมาแล้วบอกว่าทำไมไม่คุยกัน ทำไมต้องใช้สื่อมาขู่ฝั่งเขา เขาอ้างว่าสัญญาทนายก็รับรู้ ทนายเป็นคนร่างด้วย แต่เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทนายไม่ทราบเลยว่าครอบครัวมีการไปคุกคามน้องถึงคอนโด ไปทำเหตุการณ์แบบนี้ที่บ้านฝ่ายหญิง ทนายเพิ่งทราบจากรายการโหนกระแส แล้วก็ปิดเครื่องจนถึงตอนนี้ยังไม่เปิดเลย อ้อพยายามติดต่อทั้งแม่ หมอ ทนาย อยากคุยเองว่าเรามาพูดคุยกันมั้ย เมื่อวานเรายังไม่แจ้งความเลยนะคะ เราอยู่โรงพักยังให้เวลาเขาอยู่ พยายามติดต่อหลายครั้งมาก แต่ตัดสายทิ้งและปิดเครื่อง ก็ประเมินแล้วว่าไม่ได้ลูกคืนแน่ๆ ก็แจ้งความเลยดีกว่า ไม่รอแล้ว

ตอนแจ้งความ แจ้งใครบ้าง?

ต้นอ้อ : แจ้งคุณย่าข้อหาพรากผู้เยาว์ ส่วนบุกรุกต้องพี่ชายน้องแจ้งเอง

เอ : รอดูก่อนว่าจะยังไง ยังให้โอกาสเขาอยู่ วันนี้เป็นแค่คดีเดียวไปก่อน

ต้นอ้อ :   อ้อประสานสภ.ท่าข้ามที่เราไปลงพื้นที่ เขามีบ้านสองหลัง อีกหลังเป็นโรงงานเหล็ก นักข่าวไปตามก็เจอพี่ชาย ตอนที่เราไปอ้อทราบว่ายังไงเราก็ไม่เจอ แต่เราอยากไปยืนตรงนั้น ประสานตรงนั้น ตร.โทรให้นะคะ โทรไปเป็นผู้หญิงรับ แล้วก็วาง ปิดเครื่องไปเลย ติดต่อใครไม่ได้เลยเมื่อวานนี้ เราก็ไปถามคนอยู่ในโรงงานว่าเจ้าของใช่คนนี้มั้ย ทุกคนก็ตอบสคริปต์เดียวกันหมดว่าไม่ใช่ ไม่มี

คิดว่าลูกคุณอยู่ที่ไหน?

เอ : พระรามสองค่ะ อยู่ที่โรงงาน เขาเคยพูดมาตอนคุยกันว่าจะเลี้ยงน้องที่ไหน เดาว่าบ้านที่สาทรไม่มีที่ที่จะเลี้ยงน้อง ก็เลยคิดว่าน้องน่าจะถูกเลี้ยงที่พระราม 2 และให้เดาเขาน่าจะจ้างพี่เลี้ยง เพราะตอนนั้นเขาพูดมาคำนึง ใจดร็อปมาก คืออาจให้เสมียนช่วยป้อนนม แต่ต่อมาเขาบอกว่ายังไงเขาก็ต้องจ้างพี่เลี้ยง เลยคิดว่าน่าจะเลี้ยงที่บ้านพระราม 2

เมื่อวานพี่ธนกฤตพยายามตามเด็กให้ตลอด โทรจนคุณย่ารับโทรศัพท์ มีหลายคำถามที่เป็นข้อสงสัย อยากให้น้องช่วยตอบให้สิ้นสงสัยหน่อย เขาก็พูดอีกมุมนึงเหมือนกัน บังเอิญหรืออะไรก็ไม่รู้ ปรากฏว่าหนึ่งในเพื่อนบ้านพี่ชายคุณ เป็นเพื่อนผม เมื่อเช้าเขาส่งมาให้เป็นคลิปนึง มันได้ยินเสียงเลย เห็นถึงความรุนแรง?

ทนายแก้ว : ตะโกนและทำร้ายจิตใจน้องเขารุนแรง

บางคลิปก็กระชาก หลังมีประเด็นนี้เกิดขึ้น พี่ธนกฤตในฐานะที่เมื่อวานพูดในรายการ น้ำตาของท่านมีราคา ท่านร้องไห้เลย ก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน แต่ตัวท่านเองพอจบรายการก็พยายามประสานหน่วยงาน และประสานไปหาบ้านผู้ชาย จนเจอแม่ฝ่ายชาย เพื่อความเป็นธรรม มีบางอย่างที่แม่ฝ่ายชายบอกเป็นอีกมุมนึง น้องเองอาจต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้สิ้นสงสัย?

ธนกฤต : เมื่อวานได้ติดต่อพุดคุยกับคุณย่าเขา ตอนแรกยังระวังอยู่ บอกผมว่าอย่าอัดเทปเสียงนะ ผมบอกว่าผมไม่บันทึกเสียงหรอก เพราะผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว ที่ผมอยากรู้คือมันเกิดอะไรขึ้น ผมได้ฟังมามุมเดียว ที่ต้องรีบแก้ไข เพราะเวลานี้จะเดินไปสู่กระบวนการตามกฎหมาย ไม่อยากให้เป็นภาพติดตาหรือแผลของครอบครัวนี้ ว่าถ้ามีการแจ้งความไปแล้ว เด็กที่ต้องเติบโตมาเห็นประเด็นปัญหาในครอบครัว ก็อยากตัดไฟแต่ต้นลม พยายามพูดคุย ก็ได้เบอร์คุณหมอมาด้วย เบอร์คุณย่าด้วย โทรหาคุณหมอก่อน อย่างน้อยที่สุดคิดว่าถ้าติดต่อคุณหมอได้ เราคงพอพูดคุยกันได้ ในฐานะที่ทำงานคล้ายกัน ผมอยู่กระทรวงสาธารณสุข คุณหมอก็ทำงานคุณหมอ ปรากฏว่าคุณหมอไม่ได้รับสาย ก็พยายามโทรหาคุณย่าเขา ก็ขอบคุณคุณย่าที่กรุณารับสาย ใช้เวลาคุย 28 นาที นานพอสมควร ก็มีคำถามที่เขาบอกว่าเขามีความอัดอั้นตันใจเหมือนกัน เขาไม่อยากพูดกับสื่อก็เป็นเหตุผลส่วนตัว พอผมฟังแล้วก็รู้สึกว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นหนึ่งในสาเหตุที่คนสองคนแยกทางกันด้วยหรือเปล่า ทำไมมีเหตุการณ์กรณีมีสามคนเข้าไปในหอพัก เกิดอะไรขึ้นที่พัทยา

แม่เขาให้มาถาม ว่าเกิดอะไรขึ้นที่พัทยา?

ธนกฤต : เขามีปัญหากันที่พัทยา ก็เลยจะมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น

เอ : สำหรับตัวหนูไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาใหญ่ อาจมองว่าเป็นปัญหาความสัมพันธ์ของเราสองคนมากกว่า พัทยาคือเราไปทริปกันเป็นวันเลิกงานของคุณหมอ วันศุกร์เย็น ทริปนี้เป็นทริปวันเกิดหนู ตอนนั้นหนูท้องแล้วประมาณ 12-13 วีค เราไปกันสามวันสองคืนที่พัทยา ระหว่างไปถึงเย็นแล้ว ก็เลือกร้านอาหารทานกัน ตอนนั้นแพ้ท้องเยอะหนักมาก ต้องทานมะม่วงเปรี้ยวไปตลอด อันนี้อาจมีประเด็นเสริมที่คุณแม่บอกว่าหนูชอบทำรถสกปกรก แมสหล่น ยาดมหล่น ลืมยาแพ้ท้องไว้ในรถ ทำให้รถเขาสกปรก ทำนองนี้ คุณหมอคงไปบอกคุณแม่ว่าหนูทำรถสกปรก เขาเลยให้ลูกเขาสลับรถกันใช้ เอารถคันใหม่ไว้ที่บ้าน เอารถคันเก่ามาให้คุณหมอใช้ ส่วนเรื่องพัทยาหลักๆ เราไปทานอาหารกัน อดีตสามีเล่นแต่โทรศัพท์ เราแพ้ท้อง ทำไมไม่ใส่ใจเราบ้างเลย เราน้อยใจ เหมือนงอนๆ กัน เดินออกจากร้านไป แล้วไปเช็กอินเข้าที่พักประมาณทุ่มสองทุ่ม พอเช็กอินปุ๊บเรายังงอน ยังน้อยใจกันอยู่ ก็บอกเขาว่าเราไม่ชอบพฤติกรรมที่เล่นโทรศัพท์ไม่สนใจเราเลย ทานอาหารอยู่ก็เล่นตลอด จนมีปากเสียงกันขึ้นมา มีปากเสียงทะเลาะกันหนักมาก เขาพูดมาคำนึงเป็นคำหยาบสวนเรามา มีการกล่าวถึงคุณพ่อเรา ไม่ใช่คำด่านะคะ เขาบอกว่าใครจะดีเท่าพ่อมึงล่ะ หนูก็โอ้โห ขึ้นมากเลย ทำไมเธอต้องว่าพ่อเขา เขาไม่เคยว่าแม่เธอเลย

ขนาดอาหารเวลาไปบ้านก็จัดให้เขากินก่อน กินเหลือพ่อแม่ยังกินต่อเลย แต่นี่กลับมาพูดแบบนี้?

เอ : ใช่ หนูไม่รู้ว่าเขาไปสื่อสารกับม๊ายังไง พอพูดไปแบบนี้หนูก็โมโห ผลักเขา ข่วนเขา เป็นรอยที่แขน เขาเหมือนเดินหนีเรามาชั้นล่าง แล้วผลักหนูกำลังท้อง ผลักเข้าลิฟท์ ไม่ให้หนูตามไป ตรงท้องก็กระแทกกับลิฟต์ ตรงนี้ม๊าทราบดี เขารายงานคุณแม่ตลอด จากนั้นก็ขอโทษกันปกติ ก็จบไป อีกวันเราไปคาเฟ่ ทานอาหารกัน ก็หารสองกันเหมือนเดิม จ่ายใครจ่ายมัน ไปทานเค้ก น้ำผลไม้ เฟร้นฟราย ซึ่งเฟร้นฟรายราคา 89 บาท ยังถ่ายรูปอยู่นะคะ เก็บเป็นความทรงจำ ไม่คิดว่าต้องเอามาใช้วันนี้ หนูอยากทานเฟร้นฟราย แต่หนูเป็นคนที่ทานอะไรก็เหมือนทานไม่หมด เขาก็มีมติว่าถ้าเธออยากทานก็ต้องจ่ายเอง เราทานอะไรก็เหลือเขาไม่โอเค สั่งเฟร้นฟราย 89 บาท คุณหมอก็สแกนจ่ายให้ก่อน แล้วแบมือบอกว่าไหนล่ะค่าเฟร้นฟราย ทวงต่อหน้าพนักงานที่มาเก็บ เราก็บอกว่าเฮ้ย เราไม่โอเคนะ เราจ่ายเธอแน่นอน เดี๋ยวมาคุยกันในรถก็ได้ ทำไมต้องทำให้อายด้วย ก็คุยกันต่อว่าพรุ่งนี้จะทานอะไรดี พยายามหาร้านที่คุณหมอทานได้ เพราะอดีตสามีหนูเขาท้องไม่ค่อยดี ปวดท้องง่าย เราจะเลือกร้านที่ยึดเขาเป็นหลัก อย่างหมูกระทะริมทางมาก ก็ไม่อยากให้เขานั่งเพราะท้องเขาไม่ดี วันนั้นพอเกิดเรื่องค่าเฟร้นฟราย ก็ถามว่าใครจ่าย

มีเรื่องเฟร้นฟรายจริงเหรอ?

ธนกฤต : ก็คุยกัน เขาบอกมีประเด็นเหมือนแฟนกันทะเลาะกัน ก็ถามว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร มีเรื่องเฟร้นฟรายมาเกี่ยวข้อง ยังไม่จ่ายค่าเฟร้นฟรายให้

เอ : เข้าดีเทล พอหมูกระทะ หนูถามว่ามื้อนี้ใครจ่าย มันเป็นทริปวันเกิดหนู คุณหมอถามว่าเธอจะให้เราออกอีกกี่มื้อเหรอ จะให้เลี้ยงอีกกี่มื้อ พรุ่งนี้มื้อเดียวใช่มั้ย แล้วมีปัญหาเลย หนูก็เสียใจ ถ้าเขาอยากคอนเซิร์นเรื่องนี้ ที่พักคุณหมอจ่ายอยู่แล้ว มามีประเด็นเรื่องใครจะจ่ายโน่นจ่ายนี้ สี่ห้าทุ่มคุณหมอก็โทรไปฟ้องม๊า ว่าหนูไม่เป็นตามที่ตกลงเลย เราตกลงแค่ว่าจะจ่ายค่าฝากครรภ์ค่าคลอดนะ แต่เนี่ยเขาต้องมาจ่ายค่าอาหารให้หนู เขาโทรไปบอกม๊าแล้วโทรหาแม่หนูที่สุพรรณฯ เขาตกลงแค่ว่าจะรับผิดชอบหนูแค่เงินค่าฝากครรภ์และค่าคลอด ทำไมต้องมาจ่ายอาหารให้หนูอีก แต่ไม่ได้บอกว่าคุณหมอไม่ดีนะคะ เช่นวันเกิดเขาก็ซื้อกระเป๋า น้ำหอมให้บ้างเล็กน้อย ไม่ใช่ไม่ดีเลย เขามองว่าหนูเหมือนคนอารมณ์ร้อน บางทีทะเลาะกัน คุณหมอลงมาชั้นล่าง ก็หาว่าหนูตะโกนทำให้ลูกเขาเสียหาย เขาเป็นหมอคิดเหรอว่าเขาไม่อาย

นี่คือเรื่องพัทยา ฝากบอกคุณย่าด้วยนะ เฟร้นฟราย 89 บาท เขาทะเลาะกันเรื่องนี้?

ทนายแก้ว : ทะเลาะกันเพราะพี่ผู้หญิงไม่ได้จ่ายเงิน (หัวเราะ)

ธนกฤต : เดี๋ยวมีพีคกว่านี้

เวียนว่ายตายเกิดอยู่กับการคุยกับผู้หญิง เป็นนักแสดงก๊อกแก๊กๆ รายได้ไม่ได้ดีมากมาย ผมไม่เคยให้ผู้หญิงจ่ายเงินแม้แต่สลึงเดียวเวลากินข้าว ไม่รู้จักคำว่าอเมริกันแชร์ นี่ไม่ได้ขิงหมอนะ ผมจ่ายหมด ซื้อกลับบ้านให้ด้วย ฝากให้พ่อนะจ๊ะ เอาให้แม่นะจ๊ะ นี่เรื่องจริง บางครั้งอยู่ในช่วงหว่านแห มันเป็นแบบนั้น ยืนยันเป็นค่าเฟร้นฟราย ค่าหมูกระทะที่ทะเลาะกัน เขามีปัญหาอะไรจะถามต่อ?

ธนกฤต : เขาบอกคอนโดกับหอพัก เหมือนเราไปเปิดประตูให้เขาเข้ามา เขาไม่ได้ไปบุกรุกอะไร เขาบอกว่าหนูมีคอนโด จริงๆ ไม่มีหรือเปล่า

คุณไปโกหกเขาหรือเปล่าเรื่องคอนโด?

เอ : เรื่องคอนโดที่ม๊าสงสัยมาตลอด ตอนแรกตอนท้องก็คุยกับคุณหมอ ว่าเราจะอยู่ที่ไหนกันดี ถ้าน้องคลอดเราจะเลี้ยงน้องที่ไหน คุณหมอแนวๆ จะให้เลี้ยงในหอนี้ แต่หอนี้ไม่มีหน้าต่างและมันแคบมาก ไม่สามารถเลี้ยงน้องได้ หนูเลยปรึกษาเขา ให้หาคอนโดแถวไหนก็ได้ที่ใกล้รพ.ที่เขาทำงาน เขาเริ่มเสิร์จหา จริงจังหามาก แต่อยู่ที่ราคาหมื่นกว่า สองหมื่นนิดๆ เขาก็กลับไปบอกคุณแม่ คุณแม่เขาบอกว่าไม่โอเค ค่าใช้จ่ายคอนโดสูงเกินไป ก็มีความคิดว่าเราอาจไปเลี้ยงน้องที่สุพรรณฯ แต่เราก็ไม่ได้อยู่กันสามคนอยู่ดี เพราะคุณหมอทำงานจันทร์-ศุกร์ ทางคุณหมอหนูเข้าใจมาตลอดว่าเขาเป็นคนกลางในความสัมพันธ์ ทั้งแม่ทั้งหนูด้วย ก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวไปอยู่คอนโดเรา ตอนนั้นหนูไม่ได้มีคอนโดที่เป็นชื่อหนูจริงๆ ขนาดนั้น แต่มีคอนโดลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมาก เขาบอกให้อยู่ไปเลย การที่พูดว่ามีคอนโด กำลังทาสี หนูต้องการคีฟความสัมพันธ์อยากอยู่กันสามคน โดยเอาภาระทั้งหมดให้อยู่ที่หนูทั้งหมด ไม่อยกาให้คุณหมอเครียดว่าแม่ไม่ให้ไปเช่าคอนโด เพราะถ้าให้เดา เรื่องการเงินของสามี น่าจะมีแม่เป็นคนให้ เขาไม่ได้บริหารเงินเดือนของเขาเอง เพราะมีอะไรเขาต้องรายงานคุณแม่หมดว่าจะใช้เท่าไหร่ จะยังไง ขอเท่าไหร่ หนูก็เลือกพูดโกหกไปเพื่อคีฟความสัมพันธ์ไป เอาภาระมาอยู่ที่หนูคนเดียว

ตอบง่ายๆ ยืนยันว่าเคยโกหกเรื่องคอนโด สาเหตุที่โกหกเพราะ?

เอ : ไม่อยากให้คุณหมอเครียดว่าแม่ไม่ให้เงินเช่าคอนโด เรากับลูกก็จะไม่มีที่อยู่ เลยบอกคุณหมอว่าไม่เป็นไร เรามีคอนโด แต่วันนั้นเราเลือกเริ่มนับหนึ่งใหม่ในการหาคอนโด

พูดง่ายๆ แค่ต้องการให้แม่ผัวรู้ว่าฉันมีคอนโด ผัวจะได้มาอยู่กับฉัน?

เอ :   เขาจะได้สบายใจ

ถ้าผัวไปซื้อคอนโดแม่ก็ไม่ยอม ก็เลยบอกว่ามีคอนโดให้ผัวมาอยู่ด้วย ประมาณนี้มั้ย?

เอ : ใช่ ประเด็นคือเขาไม่เคยพาหนูเข้าบ้าน ไม่เคยพูดว่าเฮ้ยเดี๋ยวไปเลี้ยงน้องที่บ้านมั้ย แล้วเราจะอยู่ที่ไหนกัน

ต้นอ้อ : โกหกเพราะอยากอยู่กันพ่อแม่ลูก แค่นั้นเลย

ธนกฤต : มีคำถาม หนูเป็นแอร์ฯ เหรอ ต้นปีนี้ เขาบอกว่าหนูต้องไปบินสองเดือน

เอ : เป็นประเด็นที่ถามทุกครั้งเวลาไปฝากครรภ์ เขาไม่เคยถามสารทุกข์สุกดิบเลยทุกครั้งที่เจอที่รพ. เขาจะถามหนู ถามคุณแม่อยู่คำเดียวว่าหนูมีงานทำหรือยัง หนูทำงานอะไร แต่ระหว่างหนูท้องและโดนทิ้งไป หนูรีเซ็ตตัวเองใหม่ ลองหางาน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกาศข่าว ลองยื่นไปอบรมกับทางไทยพีบีเอส หางานพวกองค์กรมหาชนต่างๆ ที่เราจบตรงมา หนึ่งในนั้นการสมัครแอร์ฯ ของหนู ถ้าคนที่ทราบและรู้จักหนูจริงๆ จะรู้ว่าหนูสมัครแอร์ เป็นไทม์ไลน์มาเกือบหนึ่งปีแล้ว ไม่ว่าจะสายการบินอะไรก็แล้วแต่ แต่พอ ณ วันนึงเรามีลูกก็เลือกสายการบินที่เป็นต่างชาติ พยายามส่งโน่นส่งนี่ไป จนคิดว่าวันที่น้องคลอด เราคงได้ไปเทรน ไปสมัคร สัมภาษณ์อะไรให้เรียบร้อย แล้วมีประเด็นคือไม่ได้ไปทำขั้นตอนการเป็นแอร์ฯ ให้เสร็จสิ้น หลังคลอด ผู้หญิงทุกคนมีน้ำคาวปลาออกมา ทำให้ตรวจน้ำปัสสาวะไม่ได้ ม๊าก็ถามว่าเธอทำงานอะไร ทำไมไม่หางานทำโน่นนี่นั่น เป็นประเด็นกดดันเข้ามา

หนูเลยตอบเขาว่า?

เอ : ก็ตอบว่าหนูหางานตลอด เป็นแอร์ฯ ก็สมัครงานจริงตลอด แต่เขาไม่เชื่อ เขามองว่าโกหกอีกแล้ว

แต่เหตุผลเขาคือหนูไปบอกเขาว่าหนูต้องเทรนแอร์ฯ แล้วไม่มีเวลาเลี้ยงลูก เลยจะเอาลูกให้เขาไปเลี้ยง หนูยกลูกให้เขา เพราะหนูจะเป็นแอร์ฯ คุณทำแบบนั้นมั้ย?

เอ : ไม่ได้ทำค่ะ เรื่องเทรนแอร์ฯ บอกตลอด แม้ใกล้จะคลอดว่ากำลังอยู่ในกระบวนการ แอร์ฯ รับเทรนแต่ละรอบไม่ได้มีความตายตัวอยู่แล้ว เราไม่ได้อยากอธิบายส่วนนั้น เรื่องแอร์ฯ ไม่ได้เกี่ยวกับเขาเลย

ทนายแก้ว : หนูบอกเขาว่าเป็นแอร์ฯ หรือเปล่า

เอ : ไม่ได้บอกว่าเป็นแอร์ฯ ค่ะ ไม่ได้ตายตัวว่าจะบินแล้ว

หนูไม่ได้โกหกว่าเป็นแอร์ฯ?

เอ : ยังไม่ได้ค่ะ การได้แอร์ฯ คือต้องเทรนแล้ว และพร้อมบินแล้ว

เขาเรียกคุณไปเทรนหรือยัง?

เอ : น่าจะยังนะคะ ตอนนั้นน่าต้องให้เราไปตรวจร่างกายก่อนค่ะ

แล้วมีอีเมลมามั้ย?

เอ : อีเมลที่ขึ้น เป็นอีเมลตอนที่เราเริ่มสมัคร แต่ตอนท้อง เหมือนได้เรียกไปสัมภาษณ์ก็ไม่ได้ไป เราจะไปยังไง เป็นแอร์ฯ แล้วท้องป่องไป

ทนายแก้ว : คุณย่าโกรธที่บอกว่าเป็นแอร์ฯ แล้ว

เอ : ไม่ได้บอกว่าเป็นแอร์ฯ แล้ว การเป็นแอร์ฯ แล้วคือต้องบินแล้ว ใส่ยูนิฟอร์มของเขาแล้ว

ไม่ได้พูดว่าเป็นแอร์ฯ แต่พูดว่าเผื่อต้องไปเทรน?

เอ : ใช่ค่ะ ตอนนั้นร่างกายไม่พร้อม คนเพิ่งคลอดน้อง

คุณมีแต่งชุดมั้ย?

เอ : ยังไม่ได้บินนี่คะ ยังไม่ได้เป็นแอร์ฯ นี่คะ

นี่คือชุดอะไร?

เอ : ชุดที่เรายื่นเรซูเม่ค่ะ

เคยพูดมั้ยว่าต้องไปเทรน ไม่เอาลูกแล้ว ให้เอาลูกไป?

เอ : ไม่เคยพูดค่ะ การพูดแบบนี้ เป็นความเข้าใจว่าเราสลับกันเลี้ยง ไม่ว่าไปเทรนหรือเราจะทำอาชีพอื่นก็แล้วแต่ เมนหลักก็ยังต้องสลับกันเลี้ยงอยู่ดี ใจหนูไม่ได้คิดว่าเขาต้องกีดกันอะไร หนูยินดีส่งลูกให้เขาเลยนะ ถามเขาตลอดว่าหนูจะขึ้นไปกรุงเทพฯ วันนั้นวันนี้ ม๊าจะมารับน้องเลยมั้ย แม่ของฝนเป็นเบาหวาน ม๊าอยากรับน้องไปเลี้ยงมั้ยคะสักหนึ่งอาทิตย์ ถ้าฝนได้บินจริงๆ หนูกลับไทยก็จะกลับมารับลูกไปเที่ยวสุพรรณฯ บ้าง

มีแชตมั้ย?

เอ : มี แต่ไม่ได้ส่งให้ค่ะ

ธนกฤต : หนูไปลบเฟซบุ๊กเขาทำไม เขาต้องคุยเรื่องงาน ทำให้เขาทำงานไม่ได้

ลบจริงหรือไม่จริง?

เอ : ลบจริงค่ะ เรื่องผู้หญิงค่ะ เสิร์จแต่ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ รายการเสิร์จเต็มไปหมด แต่รายการนั้นเขาดูเรื่องงานด้วย ก็ให้เขาลบเพราะปัญหาผู้หญิงเข้ามา ไม่ว่าคนคุยเก่าๆ ดีเทลยา สอดแทรกเยอะแยะไปหมด ก็เลยบอกให้ลบค่ะ

ต้นอ้อ : หึงหวง เอาง่ายๆ

เอ : หนูบอกเขาว่าลบได้มั้ย ไม่สบายใจเลย เขายอมรับอยู่แล้วนะ เขามีปัญหาเรื่องผู้หญิงอยู่แล้ว เขาก็ลบเพื่อความสบายใจ แต่ทางคุณแม่ก็เข้าใจว่าทางรพ.น่าจะติดต่อผ่านเฟซ เขามองว่าหนูทำให้ลูกเขาทำงานไม่ได้ แต่จริงๆ คุณหมอเป็นคนมีเพื่อนน้อย ไม่ได้มีเพื่อนเยอะขนาดนั้น ที่ให้ลบเพราะปัญหาผู้หญิง ที่ต้องให้ลบโซเชียล ก่อนหน้าคบกันจริงจัง เราจับได้ว่าเขามีการซื้อ เป็นเรื่องผู้หญิง

ต้นอ้อ : เขาไม่ได้ลบเอง เขาคุยกันและผู้ชายเป็นคนลบ พอลบก็คงไปฟ้องแม่ว่าคนนี้สั่งให้ลบนะ

มีอะไรอีกมั้ย?

ธนกฤต : เรื่องรพ. เลือกรพ.ที่ราคาสูงหน่อย ทำไมไม่บอกคุณหมอ เขาบอกว่าหนูมีการแท้งไปครั้งนึง แล้วไม่บอกเขา ทำให้เขาสงสัยว่ามาตั้งท้องคนใหม่

เหมือนติดใหม่เร็วได้ยังไง?

ธนกฤต : น้องเคยแท้ง แล้วไม่ได้บอกคุณหมอ มีช่วงระยะเวลาที่ตั้งครรภ์ เวลามันหายไป เขาใช้คำนี้ เหมือนบอกว่าท้อง แล้วอยู่ๆ ไม่ได้ท้อง มาเริ่มท้องใหม่

เขาต้องการอะไร?

ธนกฤต : เขาพูดประเด็นว่าน้องพูดไม่จริงเยอะ แต่ละเรื่องไม่จริงๆ หลายเรื่องที่เป็นเรื่องไม่จริง ก็ไม่รู้ว่าพูดเรื่องแท้งคืออะไร

เอ : เรื่องตกเลือดเป็นประเด็น เราไม่ได้บอกเขาจริงๆ ว่าตกเลือด เพราะเขาไม่ได้ใส่ใจเราเลย เราไปรพ.คนเดียว ทำอะไรก็ทำคนเดียว เราไม่อยากบอกอะไรเขาเกี่ยวกับชีวิตเราอีกแล้ว เพราะเขาไม่ได้สนใจ

เคยตกเลือดจริงแต่ไม่ได้บอกเขา เขารู้ได้ไง?

เอ : บอกทีหลังว่าเราเคยตกเลือด

ธนกฤต : ท้องแล้วแท้งไม่บอกหมอ เหมือนไม่พูดความจริง ปิดไม่บอก

เอ : บอกทีหลัง เขาก็ทราบนะคะ

ย่าสงสัยว่ามาโกหกทำไมเรื่องตกเลือด อาม่ารู้เพราะลูกชายมาบอก ลูกชายรู้เพราะเอบอก?

ธนกฤต : 28 นาทีที่คุย ผมฟัง ไหลมาเรื่อยๆ เขาสงสัย ที่เขาพูดมาทั้งหมด เขามองว่าน้องไม่พูดความจริง เขาไม่ชอบน้องเลย

หายใจก็ผิด ตกเลือดก็บอกว่าไม่บอก ค่าเฟร้นฟรายไม่จ่าย มึงก็ผิด?

ธนกฤต : ก็มีคำพูดไหลมาเรื่อยๆ อย่างเป็นแอร์ ฯ ต้องไปแอร์ฯ สองเดือน นัดหมายส่งลูกบ้านที่มีเหตุ เขาบอกเองว่าไม่อยากเลี้ยงเด็ก

เอ : โอ้โห แรงมาก

คุณบอกเขามั้ยไม่อยากเลี้ยงลูก?

เอ : ไม่มีคำนี้นะ เอามาจากไหน

ธนกฤต : มีการนัดหมายจะส่งมอบลูกให้กัน ก็เลื่อนมาจนเจอกันวันที่มีการยื้อแย่งเรื่องลูก

คุณนัดหมายให้เขามาเอาลูกไปหรือเปล่า?

เอ : ไม่ค่ะ เหตุการณ์นี้ผ่านมา 5 วันหลังหนูขึ้นมาจากสุพรรณฯ วันนั้นบอกเขาว่าม๊าจะมาเอาน้องเลยมั้ย เขาบอกว่ายังไม่นัดค่ะ เขายังไม่ว่าง แต่เขาใช้คำว่าส่งมอบลูก ไม่เข้าใจว่าลูกหนูเป็นสินค้าเหรอ หนูเข้าใจว่าเราสลับกันเลี้ยง

ทนายแก้ว : หนูพร้อมส่ง แต่ไม่ได้นัดหมายวัน พร้อมเอาให้เขาเลี้ยง

เอ : ก็ใช่ แต่เหตุการณ์ในคลิปไม่ใช่วันที่นัดหมายนะ

ทนายแก้ว : ถ้าหนูชวนให้เขามา อาจไม่ได้ผิดบุกรุกครับ

หนูชวนเขามามั้ย?

เอ : ไม่ มีไทม์ไลน์เยอะหน่อย จากสุพรรณฯ ถามว่าม๊าจะมารับน้องเลยมั้ย ทีนี้หนูบอกว่าหนูคิดถึงลูก เราลองสลับกันมั้ย อยู่กับม๊าสามวัน อยู่กับหนูสองวัน ถึงวันศุกร์ครบกำหนดให้มารับลูก แต่เราใจคอไม่ดี มีลางสังหรณ์ มันแปลกๆ ไป

ถามง่ายๆ เหตุการณ์วันนี้เกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมเขาถึงมาที่นี่?

เอ : บอกว่าวันศุกร์ให้ม๊ามารับน้อง แต่พอเขามารับลูกปุ๊บ หนูถามว่าจะได้เจอลูกวันที่เมื่อไหร่ เขาบอกว่าไม่รู้ ขอคิดดูก่อน หนูบอกว่าถ้าม๊าไม่รู้ อย่าเพิ่งเอาน้องไป ขอให้ลูกอยู่กับหนูก่อน เพราะทางเขาเป็นคนอยู่เบื้องบนหนูตลอดว่าเธอจะอยู่กับลูกได้หนึ่งชม. สองชม. หนูเหมือนเป็นทาสรับเขา แล้วแต่ฉันจะให้เจอเมื่อไหร่ หนูก็เลยถามว่าม๊าพูดคำว่าทันทีให้หนูฟังหน่อย เขาก็ไม่พูด ไม่รู้ๆ หนูก็บอกว่างั้นไม่ต้องเอาน้องไป หนูรีบดึงกลับมาเลย

วันนั้นนัดกันจริง ว่าเขาจะมารับเด็ก และเอามาคืน แต่พอเขาอุ้มไปปุ๊บคุณถามเขาจะคืนเมื่อไหร่ เขาบอกขอคิดดูก่อน คุณเลยไม่โอเค ถ้าบอกสองวันแล้วค่อยเอากลับมาคืนก็เข้าใจได้ แต่พอเขาบอกว่าคิดก่อน คุณยอมหรือไม่ยอม?

เอ : ไม่ยอม ถ้าบริบทเรานั่งคุยกันเฉยๆ ไม่รู้ เดี๋ยวฉันคิดดูก่อน เดี๋ยวฉันบอกเธอ หนูยอมนะ แต่อันนี้บริบทมันแปลกๆ ไม่ให้เราจับลูกเลย

ธนกฤต : มีอีกคำถาม หลังคลอดมาแล้ว เขาบอกว่าหนูน้ำนมไม่มีแล้ว เท่ากับเขาเอาเด็กดูแลได้ เพราะแม่ให้นมไม่ได้ แต่พูดไปพูดมา เหมือนหนูปั๊มนม 50 ถุง คำถามคือให้ลองไปตรวจดูว่ามีน้ำนมมั้ย

คุณปั๊มนมให้เขามั้ย?

เอ : ปั๊มตั้งแต่เกิด ไม่เคยตกรอบเลย นมก็กินได้ค่ะ

ธนกฤต : ที่พูดอาจมีบางอันที่ผมจำไม่ได้บ้าง แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องเล็กน้อยหมดเลย เป็นเรื่องคนสองคน ก็เลยขอให้ลูกเขามากินนมแม่ก่อนได้มั้ย เขาบอกเขาขอคิดดูก่อน ผมถามคิดนานมั้ย แกบอกขอคิด 2 วัน ก็อึ้งๆ ไป ว่าทำไมคิดนานจัง อย่างน้อยให้เด็กได้เจอแม่ได้มั้ย ผู้ใหญ่จะตกลงอะไรกัน ผมเป็นคนกลางให้ก็ได้ จะแบ่งลูกกันอย่างไร ก็ลองมาไกล่เกลี่ยกัน แกบอกขอเวลา 2 วัน แต่เอาจริงๆ จากใจเขา เขาอยากเอาเด็กคืนให้ แต่เขาก็ต้องไปถามใจลูกชายด้วย

จริงๆ แล้วประเด็นนอกเหนือหมดเลย ที่พูดๆ กันมา ที่บอกคดีพลิกมั้ย โกหกพูดไม่หมดหรือเปล่า นี่คือประเด็นภายนอก มันไม่ได้เข้าข่ายข้อกฎหมาย ที่คุณจะเอาลูกไปได้หรือไม่ได้ เป็นแค่ประเด็นปลีกย่อยว่าเกิดความสงสัยจากอีกฝั่งว่าเรื่องนี้เป็นยังไง ถามรอบนอกให้พูดตรงๆ ว่าหนูไม่ต้องการเด็กหรือเปล่า ต้องการให้เขาเอาไปเองหรือเปล่า เขาตอบกลับมาผมก็อึ้งๆ เขาบอกว่ามีแม่คนไหนที่จะเอาลูกตัวเองไปให้คนอื่นเลี้ยง?

ธนกฤต :   เจตนาที่คุยอยากให้ลูกมาเจอแม่ กินนมแม่ก่อน ผู้ใหญ่ก็มาคุยกันว่าจะดูแลกันอย่างไร รับผิดชอบกันอย่างไร เมื่อวานไม่สบายใจเพราะอ้อก็โทรมาบอกว่าจะไปที่โรงพัก ก็อยากฟังจริงๆ ว่าสุดท้ายเพราะอะไร ถึงไม่ให้เด็กมา แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่พูดทั้งหมด เป็นเรื่องเล็กๆ

เอาตรงๆ เรื่องไร้สาระ?

ต้นอ้อ : ข้อเท็จจริงก็เหมือนเดิมค่ะ ไม่เปลี่ยน เขาเอาลูกไป

ธนกฤต : ตอนนี้เขาอยากเอาลูกมาเลี้ยงเอง แม่ให้เขาได้มั้ย ผมพยายามจี้ถามตรงนี้ เอาลูกมาให้เขาเถอะ เขาบอกว่าถ้าใจเขา เขาจะคืนให้ แต่ขอคุยกับลูกชาย หลังจากนั้นโทรกลับไปใหม่อีกที บอกว่าถ้าแม่จะคืนลูก อยากใช้พื้นที่คุยกันที่กระทรวงสาธารณสุขมั้ย แกเลยบอกว่าขอคิดหน่อย

อยู่ในสายกับพี่เขียว สรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ และเป็นคนออกพรบ.คุ้มครองเด็ก แบบนี้ต้องคืนเด็กให้แม่เขามั้ย?

สรรพสิทธิ์ : ต้องคืนครับ ตามกฎหมายอาญา ตามกฎหมายคุ้มครองเด็ก ผมดูจากวิดีโอ เขาผิดอย่างน้อย 2 ข้อหาแล้ว แต่ข้อหาสำคัญคือตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 พรากเด็ก อายุไม่เกิน 15 ปี โดยปราศจากเหตุอันสมควร เราก็จะมีเงื่อนไขสองอย่าง ถ้าเขาเป็นพ่อโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้การอุ้มเด็กไปในฐานะที่ตัวเองเป็นพ่อโดยชอบด้วยกฎหมาย ก็ยังผิดตามมาตรา 317 วรรค 1 เพราะเด็กอายุแค่ 1 เดือน โดยหลักแล้วเขาต้องได้รับนมแม่ถึง 6 เดือน เพื่อได้มีภูมิต้านทานโรค ช่วง 6 เดือนแรกจากแรกเกิด เป็นช่วงที่เด็กต้องพัฒนาภูมิต้านทานโรคตัวเอง ต้องดื่มนมแม่ 6 เดือนเป็นอย่างน้อย กรณีที่สอง กรณีไม่ได้จดทะเบียนสมรส ไม่ได้จดทะเบียนรับรองเด็กเป็นบุตร มีความผิดฐานพรากเด็กแน่นอน

ยับ?

สรรพสิทธิ์ : ความผิดฐานพรากเด็ก แม่กฎหมายบอกว่ายินยอมไม่ได้ แต่ทางปฏิบัติถ้าตกลงกันได้ ก็อาจถอนคำร้องทุกข์ ก็แนะนำให้ร้องทุกข์ 3 ข้อหารวดเลย ถ้าคุณไม่อยากให้ตัวเองถูกจำคุกหรือดำเนินคดี ต้องมาไกล่เกลี่ย แต่เงื่อนไขการไกล่เกลี่ยมีเรื่องเดียว คือคุณต้องเอาลูกมาคืนก่อน ซึ่งประเด็นในการไกล่เกลี่ยควรมีสัก 3 ประเด็น คือเขาจะรับผิดชอบอุปการะเลี้ยงดูลูกยังไง อย่างแรกจดทะเบียนรับรองเด็กเป็นบุตรก่อน สองจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร สามมีส่วนร่วมดูแลและพัฒนาเด็กอย่างไร ควรมีข้อตกลงชัดเจน ถ้าตกลงกันได้ ทำเป็นข้อตกลง ก็มีการบังคับคดีตามไกล่เกลี่ยตกลง เราก็สามารถถอนคำร้องทุกข์ได้ แต่ถ้าเขาฝ่าฝืน เขาจะโดนโทษทางอาญา

พอดีมีอีกมุมมองนึง เช่น บิดามาพรากเด็กนอกสมรส เพื่ออุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษา ถือว่าไม่เป็นการพรากเด็ก ตามฎีกา 398/2517?

สรรพสิทธิ์ : เป็นความเห็นของใครครับ จริงๆ ใช้ไม่ได้นะ คุณจะเอาเด็กไปอุปการะเลี้ยงดูต้องมีขั้นตอน ไม่ใช่แย่งจากอกแม่ไป แม่ต้องให้นมลูกอย่างน้อยติดต่อกัน 6 เดือน คุณไม่มีข้ออ้างทางกฎหมายมาพรากไปได้เลย ผมบอกตั้งแต่แรกถ้าเขาเป็นพ่อโดยชอบด้วยกฎหมายก็ไม่สามารถพรากเด็กไป เพราะเด็กต้องกินนมแม่ติดต่อกันตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ 6 เดือน สอดคล้องกับมาตรฐานในการพัฒนาเด็กปฐมวัยนะครับ

ยังไงเด็กต้องกลับมาอยู่กับแม่?

สรรพสิทธิ์ : ยืนยันครับ ถ้าคุณคิดว่าทำได้ ไปเจอกันที่ศาล ที่สถานีตำรวจเลย ไปดูกันว่าตร.จะตั้งข้อหามั้ย ถ้าตร.ไม่ตั้งข้อหา จะโดนข้อหา 157 เลยนะครับ นี่เป็นข้อกฎหมายที่ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าคิดว่าอยากให้ไปเป็นพยานก็ยินดี ไม่มีปัญหาครับ

บางคนอาจไม่ได้เข้าใจถ่องแท้ แต่พี่เป็นคนออกพรบ.คุ้มครองเด็ก ไม่งั้นจะกลายเป็นข้อถกเถียงกันเยอะแยะมากเลย เลยต้องคุยกับพี่ เพราะพี่แม่นที่สุด?

สรรพสิทธิ์ : ยกตัวอย่างมีคนบุกรุกไปอยู่ในที่คนอื่นไม่ยอมออก ไม่ใช่ว่าจะสามารถไปฉุดกระชากลากตัวเขาออกไปได้เองนะ ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย อย่างนี้ก็เหมือนกัน สมมติคุณเป็นพ่อโดยชอบด้วยกฎหมาย วิธีนี้ก็เป็นวิธีการที่ทำไม่ได้โดยกฎหมาย อยู่ดีๆ คุณใช้กำลังลากจูงมาก ข่มขืนใจผู้อื่นและบุกรุกด้วย

น้องเซ็นชื่อเอาไว้?

สรรพสิทธิ์ : ไม่ได้เป็นประเด็นทางกฎหมาย ถอนเมื่อไหร่ก็ได้ ความยินยอมที่เซ็นกันเอง ถอนเมื่อไหร่ก็ได้ ศาลไม่ได้ตั้งนะครับ ถ้าศาลเป็นคนออกคำสั่งหรือออกคำพิพากษา โอเค มีปัญหา แต่นี่ไม่ใช่

ทนายแก้ว : บันทึกข้อตกลงน้องเขียนตัดสิทธิ์การเป็นแม่ไม่ให้เขาดูแล ได้มั้ย

สรรพสิทธิ์ : ไม่ได้ครับ ตัดสิทธิ์ไม่ให้ดูแลต้องเป็นอำนาจของศาล อันนี้เป็นสิทธิของผู้ใช้อำนาจปกครอง ข้อบังคับนี้ใช้ไม่ได้ เมื่อถอนความยินยอมเมื่อไหร่ ใช้ไม่ได้ทันที นี่ก็ถือว่าถอนความยินยอมแล้ว เพราะคุณมาแย่งจากตัวแม่เลย

ทนายแก้ว : วิเด็ก หมวดที่ 15 การพิจารณาคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก น้องเอสามารถยื่นคำร้องต่อศาล

สรรพสิทธิ์ : สามารถทำได้ แต่วิธีนั้นยืดเยื้อ ต้องไปสืบพยาน ตอนนี้มีหมายเรียกตัวจากพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ตั้งข้อหา ถ้าคุณไม่ยอมไกล่เกลี่ย ไม่ยอมคืนเด็ก ก็ไม่ปล่อยตัวชั่วคราว นี่เป็นไปตามมาตรา 180/1 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กรณีที่ผู้ต้องหากระทำผิดซ้ำ หรือกระทำผิดอีก ในทีนี้คือพรากเด็กไปแล้วไม่ยอมคืน อันนี้ชัดเจนอยู่แล้ว พนักงานสอบสวนมีอำนาจไม่ปล่อยตัวชั่วคราว เสนอเงินประกันเท่าไหร่ก็ปล่อยตัวไม่ได้

ถ้าเจ้าหน้าที่ตร.กังวลใจว่าจะกลายเป็นละเมิดเขา เลยไม่กล้าทำ ได้มั้ย?

สรรพสิทธิ์ : ไม่ได้ครับ เราต้องทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กนะ เด็กต้องดื่มนมแม่ 6 เดือน คุณจะดูแลเด็กก็ถูกต้อง แต่ต้องผ่านการเจรจา จะมาทำเองโดยพลการไม่ได้เด็ดขาด แม้เป็นพ่อโดยกฎหมายยังทำไม่ได้โดยเด็ดขาด ซึ่งเขายังไม่ได้เป็นพ่อด้วยนะ

ธนกฤต : ฏีกานี้เกี่ยวข้องกับแม่ของเด็กมีภาวะติดยาเสพติด แล้วพ่อมาเห็น พ่อยังไม่ได้รับรองบุตร เจตนาคนละอย่าง เลยมีการฟ้องรองเกิดขึ้น ศาลฎีกาเลยไม่ได้มองว่าเป็นการพรากผู้เยาว์ เป็นเจตนาดีกับพ่อเขา เอาเรื่องนี้มาเทียบกับเรื่องน้องเอไม่ได้ คนละเรื่องกัน

ทนายแก้ว : นักกฎหมายหลายคน เอาฎีกานี้มาวาง แต่คนละเรื่องกัน ผมเองยังเห็นว่ากรณีนี้เขายังไม่ใช่พ่อโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่เขาเข้ามา ยังไงไม่สนับสนุน ก็มีส่วนในการกระทำความผิดเรื่องพรากผู้เยาว์ แต่ตัวคุณย่าเองโดนเต็มๆ เรื่องพรากผู้เยาว์ กรณีสมมติว่าเราจะทำยังไงให้ได้ลูกมา คดีอาญาพี่เขียวแนะนำไปแล้วว่าเดินเต็มสูบไป แต่มาตรการคุ้มครองสวัสดิภาพ จะเกี่ยวกับสองเรื่อง คือพรบ.ความรุนแรงในครอบครัว และคุ้มครองเด็ก ของเราเข้าทั้งสองส่วน กฎหมายวิเด็ก มาตรา 173 179 ได้กำหนดเรื่องการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อไต่สวนเป็นการฉุกเฉิน ให้ศาลออกมาตรการเอาเด็กมาดูแลได้เลย ถ้าบุคคลนั้นเพิกเฉย ศาลมีสิทธิ์ควบคุมไม่เกิน 1 เดือน

ง่ายที่สุดคือมาคุยกันเถอะ อย่างน้อยเอาลูกมาคืนเขาก่อน ประเด็นที่คุณย่าตั้งคำถาม ก็เข้าใจว่าคุณย่ารักลูกมาก ลูกคบกับคนที่แม่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ ผู้หญิงคนนี้อาจโกหกบ้าง ก็เป็นเรื่องของเขากับผัวเขา สุดท้ายคุณแม่ต้องเข้าใจอย่าง พอเขามีลูกแล้ว ร้อยเปอร์เซ็นต์คือสิทธิ์ของเขา ลูกคุณแม่ก็ไม่ได้มีการรับรองบุตร ถึงแม้คุณแม่ทำเอกสารสัญญาร่างกับทนาย แต่ต้องดูด้วยว่าตรงแบบที่กฎหมายกำหนดหรือเปล่า บางอย่างก็อาจไม่ได้ มันอาจเป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม บางข้อไม่ถูกต้อง ปัญหาที่คุณแม่ถามมาทั้งหมด เป็นปัญหาของผู้หญิงคนนี้กับลูกคุณแม่ ไม่ได้เกี่ยวกับเด็กคนนี้เลย คนละเรื่องกันเลย?

ธนกฤต : ใช่ มาพูดคยกันสิ จะดูแลอย่างไร อย่ายื้อกันแบบนี้ เพราะจากนี้ไป ขั้นตอนกฎหมายจะเริ่มเข้มข้นขึ้น เมื่อวานเขาไปกล่าวโทษ จากนี้ตร.ก็เริ่มรวบรวมพยานหลักฐาน เรียกมารับทราบข้อกล่าวหา เมื่อไหร่ลงเลขคดีรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว คดีนี้ถอนคำร้องทุกข์ไม่ได้ มีอัตราโทษสูงนะ ประมาณ 7 ปี ไม่ได้น้อยนะ

ต้นอ้อ :   โทษเกิน 5 ปีขึ้นไป สามารถออกหมายจับได้เลย

ธนกฤต :   บางทีพวกเป็นนักกฎหมายทั้งหลาย อย่างให้สุดก่อน ไม่ใช่ไปโพสต์ทำให้คนสับสน อ่านให้สุด อ่านให้ครบ เข้าใจแหละว่าทุกคนเก่งหมด ต้องดูเจตนาว่าเขาต้องการอะไร ต้องการเอาเด็กมาอยู่ในอ้อมอกแม่ก่อน เสียใจตรงที่คุณทำอะไรก็ทำไปเถอะ แต่เด็กให้เขามากินนมแม่ก่อน

พูดง่ายๆ สิ่งที่เรากำลังทำ เราไม่ได้จงเกลียดจงชังคุณย่า แต่เราทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กเท่านั้น เอาเด็กมาคืนเขา ต้นอ้อจะทำยังไงต่อ?

ต้นอ้อ : จะโทรหาทางผกก.ทางสน.ประเวศ ให้ผกก.โทรหาทางนั้นดีกว่า

ธนกฤต : จากนี้ไปท่านผกก.จะรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบ ออกหมายเรียกให้เขาเอาน้องมาให้ก่อน ต้องรีบดำเนินการ

ต้นอ้อ : ถ้าอาม่าและครอบครัวดูอยู่ ไม่ต้องรอให้ถึงเวลาออกหมายเรียกหรอกค่ะ คุณเองก็มีฐานะ มีธุรกิจ  คุณหมอก็มีอาชีพหน้าที่การงานที่ดี ถ้าวันนั้นออกหมายเรียกคุณ คนจะรู้ทั้งประเทศว่าคุณคือใคร แต่ ณ วันนี้ยังไม่มีใครรู้นะว่าคุณคือใคร เอาลูกมาคืนวันนี้ เราพร้อมรอรับอยู่แล้ว คุณไม่อยากให้สื่อรับรู้ ก็ได้เลย ขอแค่ติดต่อมา เพราะโทรไปตั้งแต่เมื่อวาน จนถึงตอนนี้ ไม่มีใครรับสายเลย ถ้าคุณเป็นผู้ใหญ่พอเอาเด็กมาคืนเขา ตามที่คุณพูดกับท่านธนกฤตดีกว่า

ไม่รู้เกี่ยวข้องกันมั้ย รพ.หัวเฉียว ร่อนแถลงการณ์ ว่ารพ.ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ให้บุคลากรทางการแพทย์ท่านนี้หยุดปฏิบัติหน้าที่ 4 เม.ย. จนกว่าข้อเท็จจริงจะปรากฏ ไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่า?

ทนายแก้ว : แนะนำเหมือนพี่เขียวพูด ถูกต้องเลย

เมื่อวานทำไมพี่ถึงร้องไห้?

ธนกฤต : ต้องบอกก่อนว่าเราฟังเรื่องน้องเขา ก็รู้สึกว่าลูกกับแม่ควรได้อยู่ด้วยกัน ควรได้กินนม เราเคยมีเรื่องในอดีตเหมือนกัน เรามีปัญหากับครอบครัวเหมือนกัน เขาเอาน้องไปช่วงที่ทะเลาะกัน เราดูแลเขามาตลอด 7-8 ปี เหมือนกัน อาบน้ำ ปั่นหู ตัดเล็บ กินข้าว ขับรถไปส่งที่โรงเรียน มันก็ย้อนกลับมา ที่สะเทือนใจคือผมไปเรียนปริญญาโท กฎหมาย ไปอยู่ที่ห้อง เพื่อนบอกว่าช่วงบ่ายไม่อยู่นะ วันนี้วันเด็ก เดี๋ยวพาลูกไปงานวันเด็ก ทุกปีเราพาลูกไปเที่ยว แต่ปีนั้นไม่มี พอพูดมาปุ๊บ ลูกเราไปไหน น้ำตาก็ไหลออกมา พอมาฟังเรื่องนี้ มันออกมาเอง ในหัวก็คิดอยู่ว่า มึงอย่าไหลนะ แต่มันมาข้างนึง ก็กะว่าทำให้เหมือนน้ำมูกไหล เห็นพี่หนุ่มมีทิชชู่อยู่ข้างๆ ก็ค่อยๆ เอื้อม เรื่องนี้เราสะเทือนใจจริงๆ เรามองว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกันทะเลาะไป อย่าไปลงที่เด็ก พอพี่หนุ่มถาม เราตอบว่าน้ำตามีราคา ก็ถูกถามอีกว่ามีราคาเท่าไหร่ ก็เลยบอกว่าราคาอยู่ที่เวลาฟ้องมีทุนทรัพย์เท่าไหร่ แค่นั้น

เมียคนไหน?

ทนายแก้ว : เดี๋ยว (หัวเราะ)

ธนกฤต : อย่าพูดว่ามีหลายภรรยา เราคบกับคนนี้ อยู่ด้วยกันไม่ได้ก็แยกกัน ก็มีลูกสองคน เคยมีมาแล้ว 2 คน คนมีลูก 2 คนคือคนที่ 2 แต่ตอนนี้ยังไม่มี (หัวเราะ) อยู่คนเดียว แล้วพี่หนุ่มอยู่กี่คน

คนเดียว นั่นแน่?

ธนกฤต : อย่า มีคลิปนะ

(คุณย่าโทรหาธนกฤต จะเจอกันที่กระทรวง บ่ายสาม ย่าถามว่าควรเอาน้องมาหรือว่ายังไง ธนกฤตบอกว่าควรเอามาดีกว่า จะได้รู้ถึงเด็กเวลานี้อยู่อย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ดี เราจะได้เห็นกันทั้งหมดจะได้ดีกว่า ย่าบอกอยากให้คุยกันเอง)

เอก็ต้องเข้าใจ การได้ลูกมาจะไปตัดสิทธิ์พ่อเขาไม่ได้นะ พี่เชื่อว่าทั้งน้องและคุณหมอมีวุฒิภาวะในการเลี้ยงดูลูกและแชร์กัน?

เอ : ขอบคุณกับทุกๆ คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ที่อยู่กับหนูตั้งแต่เดย์วันถึงวันนี้ อยากบอกครอบครัวคุณหมอว่าไม่ได้ติด ไม่ได้โทษอะไรเลย สิ่งสำคัญคืออยากขอบคุณม๊า และครอบครัวม๊า รวมถึงตัวคุณหมอที่เป็นคุณพ่อที่น่ารักของลูกเรา ดูแลน้องมาอย่างดีที่สุด ไม่มีการกีดกันอะไรเกิดขึ้น เรายังรักษาสถานภาพความเป็นพ่อแม่ลูกได้ตลอดไปค่ะ