จากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ สู่เหตุแผ่นดินไหวและตึกถล่มกลางกรุง บททดสอบที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้บทบาทของ “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ถูกจับตามองจากทั้งสังคมและสื่อมวลชนอย่างใกล้ชิด

โดยเฉพาะในแง่ของการ “อัปเลเวล” ทางการเมือง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงทักษะ และภาวะผู้นำที่มีพัฒนาการอย่างมีนัยสำคัญ

เริ่มต้นจากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งถือเป็นสนามประลองทางการเมืองครั้งสำคัญ ครั้งแรกของ “นายกฯอิ๊งค์”  ท่ามกลางแรงกดดันจากฝ่ายค้านที่มีจังหวะรุกหนัก และสังคมที่จับตาท่าทีของรัฐบาล แพทองธารสามารถยืนระยะท่ามกลางพายุการเมืองได้อย่างมั่นคงหรือไม่

แต่ด้วยบุคลิก “นายกฯ เจน Y” ที่ใช้ทักษะการควบคุมอารมณ์และวาทศิลป์ในการตอบโต้ได้อย่างเฉียบคม ไม่ปล่อยให้ฝ่ายค้านรุกฝ่ายเดียว โดยเฉพาะจังหวะการย้อนศรการโจมตีของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ และ รังสิมันต์ โรม จากพรรคประชาชน

ซึ่งแม้จะมีกระแสวิจารณ์ว่า “ถามวัวตอบควาย” แต่กลับสะท้อนให้เห็นถึงชั้นเชิงทางการเมืองที่เธอเริ่มจับจังหวะได้ดี หรือ “ตั้งหลักได้” ก่อนจะปิดฉากลงด้วยคะแนนไว้วางใจจากพรรคร่วมรัฐบาลสูงถึง 319 เสียง

หลังจากศึกอภิปรายคลี่คลาย กระแสการเมืองก็ยังไม่หยุดนิ่ง โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง โดยมีแรงกดดันจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้เป็นเบื้องหลังเสียงโหวตของ “7 งูเห่า” ที่ช่วยประคองเสถียรภาพรัฐบาลในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ เจ้าตัวย้ำชัดถึงสองครั้งในเรื่องนี้ สร้างแรงเสียดทานในการ “จัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี” ซึ่งทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามว่าจะมีการปูนบำเหน็จด้วยตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่

แม้จะมีกระแสข่าวว่าการปรับ ครม. อาจเกิดขึ้นในอีก 1- 2เดือนข้างหน้า เช่นเดียวกับช่วงที่ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร เคยหมุนเวียน ครม. ทุก 6 เดือนเพื่อรักษาสมดุลทางการเมือง แต่ “แพทองธาร”ยืนยันหนักแน่นว่า ขณะนี้รัฐบาลยังสามารถทำงานร่วมกับพรรคร่วมได้อย่างราบรื่น จึงไม่มีความจำเป็นต้องปรับคณะรัฐมนตรีในระยะนี้

 อีกทั้งยังตัดบทเรื่องเสียงสนับสนุนจากฝ่ายค้านหรือกลุ่ม “งูเห่า” โดยชี้ชัดว่าคะแนนจากพรรคร่วมรัฐบาลเพียงพออยู่แล้ว ทั้งยังปฏิเสธข่าวลือเรื่องการซื้อตัว ส.ส. อย่างชัดเจน เป็นการปิดประตูการตอบแทนด้วยตำแหน่งทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมา

สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับสังคม คือการผลักดันร่างกฎหมาย “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพียงวันเดียวหลังเสร็จศึกอภิปราย แม้จะมีแรงต้านจากบางฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มอนุรักษ์นิยม

แต่ “แพทองธาร”ยืนยันว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้คือกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว สร้างงานในภาคบริการ และควบคุมปัญหาสังคมอย่างเป็นระบบ การยืนหยัดในประเด็นอ่อนไหวที่มักถูกมองเป็นเรื่อง “สีเทา” สะท้อนถึงความมั่นใจในทิศทางนโยบายของเธอ และแสดงถึงความกล้าหาญในการตัดสินใจทางการเมืองที่ชัดเจน

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ตอกย้ำภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรี คือการตัดสินใจระงับภารกิจที่จังหวัดภูเก็ต และบินกลับมายังกรุงเทพฯ ทันทีเมื่อทราบข่าวเหตุแผ่นดินไหวและตึกถล่มย่านจตุจักร พร้อมเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน ท่ามกลางความวิตกกังวลของประชาชน การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงภาพผู้นำที่มีความห่วงใยประชาชน ตื่นตัวต่อสถานการณ์ และมีความพร้อมในการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ

การรับมือกับเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ ยังถูกเปรียบเทียบกับเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา ซึ่งเธอเคยถูกวิจารณ์เรื่องความล่าช้าในการลงพื้นที่ แต่ครั้งนี้เธอลงพื้นที่โดยทันที พร้อมทั้งตำหนิหน่วยงานที่มีความล่าช้าในการแจ้งเตือนภัย ได้แก่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และสำนักงาน กสทช. ซึ่งคำพูดของเธอสะท้อนว่า นายกรัฐมนตรีกำลังพูดแทนความรู้สึกของประชาชน พร้อมลดแรงเสียดทานต่อรัฐบาลในช่วงวิกฤตได้อย่างชาญฉลาด

ในด้านมาตรการเชิงปฏิบัติ แพทองธารยังแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาด ด้วยการสั่งการให้ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนหาสาเหตุของการถล่มของอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) โดยต้องสรุปข้อเท็จจริงภายใน 7 วัน และหากพบการกระทำผิด จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

“อาคารที่ถล่มครั้งนี้ต้องหาสาเหตุ และหาผู้รับผิดชอบให้ได้ ไม่เช่นนั้น ประเทศไทยจะอยู่ยาก” นายกรัฐมนตรีกล่าวกลางที่ประชุมครม.

ผลสำรวจความคิดเห็นจากนิด้าโพลล่าสุด ยังเป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่สะท้อนความเชื่อมั่นของประชาชน โดยพบว่า แพทองธาร ชินวัตร ได้รับคะแนนสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสูงที่สุดในไตรมาสนี้ที่ร้อยละ 30.90 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 28.80 ขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่าง “เท้ง”ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ มีคะแนนนิยมลดลง สะท้อนถึงกระแสตอบรับเชิงบวกที่มีต่อภาวะผู้นำและผลงานของเธอในช่วงที่ผ่านมา

แม้จะมีสัญญาณเชิงบวกจากคะแนนนิยมที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เส้นทางของ “แพทองธาร”ในบทบาทนายกรัฐมนตรีนั้น ยังคงเต็มไปด้วยบททดสอบอีกมากมายในอนาคต คำถามสำคัญคือ เธอจะสามารถรักษาความเชื่อมั่นของประชาชน พร้อมนำพารัฐบาลฝ่าภาวะวิกฤต และ “อัปเลเวล” สู่นายกรัฐมนตรีที่มีเสถียรภาพตลอดวาระได้หรือไม่