หลังตั้ง “ฐานทัพ” มาได้ 67 ปีกว่า จวนจะครบ 68 ปี ในวันที่ 1 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ ก็ถึงเวลาที่จะต้องปรับทัพอัพเกรดกันครั้งใหญ่แล้ว
สำหรับ “ฐานทัพสหรัฐอเมริกาในประเทศญี่ปุ่น”
โดยสหรัฐฯ เข้าไปตั้งฐานทัพตั้งแต่ปี 1957 (พ.ศ. 2500) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติไปแล้วประมาณ 12 ปี ตาม “สนธิสัญญาความร่วมมือและความมั่นคงระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น” ซึ่งสหรัฐฯ จะทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องอธิปไตยของญี่ปุ่น ในขณะที่ญี่ปุ่นถูกปลดอาวุธและลดศักยภาพกำลังทหาร ในฐานะประเทศผู้แพ้สงครามในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนเหลือเพียง “กองกำลังป้องกันตนเอง” เท่านั้น
ทั้งนี้ ฐานทัพของสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น ก็มีทั้งฐานทัพอากาศ ทั้งฐานทัพเรือ และมีอยู่ด้วยกันหลายแห่ง อาทิเช่น ฐานทัพเรือในเมืองอัตสึงิ จ.คานางาวะ
ฐานทัพเรือใน จ.โอกินาวา
ฐานทัพอากาศโยโกตะ ในเขตเทศบาลนครฟุสสะ กรุงโตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น
โดยฐานทัพอากาศโยโกตะ ถูกยกให้เป็น “กองบัญชาการใหญ่” ของฐานทัพต่างๆ ของสหรัฐฯ ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งฐานทัพอากาศโยโกตะแห่งนี้ ก็ยังถูกจัดให้เป็น “ฐานทัพอากาศที่ 5” ของสหรัฐฯ อีกต่างหากด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ฐานทัพสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น ที่เป็นที่รู้จักและคุ้นหูชาวโลก รวมถึงชาวไทยเราเป็นอย่างดี ก็คือ ฐานทัพเรือใน จ.โอกินาวา
ส่วนกำลังพลของทหารสหรัฐฯ ที่ประจำการอยู่ในญี่ปุ่น ก็มีจำนวนประมาณ 35,000 – 50,000 นาย โดยปัจจุบันก็อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.อ.ท.สตีเฟน เอฟ.โจสต์
เมื่อฐานทัพถูกสถาปนามาเนิ่นนานร่วม 7 ทศวรรษอย่างนี้ ก็ได้เวลาที่จะต้องปรับทัพขยับกระบวนยุทธ์กันครั้งใหญ่ ให้สอดรับกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป
จากเดิมที่ต้องสู้รบปรบมือกับขั้วค่ายสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ ตลอดช่วงหลายทศวรรษก่อน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ก็เปลี่ยนไปเป็นการเตรียมเผชิญหน้ากับการขยายอิทธิพลของจีนแผ่นดินใหญ่ ณ ชั่วโมงนี้แทน
โดยแผนการปรับทัพอัพเกรดอย่างขนานใหญ่ของฐานทัพสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น ก็เริ่มมีขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปลายสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ คนก่อนแล้ว จากการที่ประธานาธิบดีไบเดน ได้หารือกับนายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนก่อน เมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2024 (พ.ศ. 2567) ก่อนที่ประธานาธิบดีไบเดน ประกาศเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมกลางปีที่ผ่านมา ถึงการปรับทัพครั้งใหญ่ต่อฐานทัพสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น เพื่อรับมือจีน ประเทศที่ทั้งประธานาธิบดีไบเดน และนายกรัฐมนตรีคิชิดะ ตีตราให้ว่า เป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคง และเป็นโจทย์ท้าทายต่อการเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์โจทย์ใหญ่ที่สุด ณ เวลานี้เลยก็ว่าได้
ล่าสุด ในยุคสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ก็ได้ส่งนายพีต เฮกเซท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือเพนตากอน เดินทางมายังญี่ปุ่น เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนที่จะหารือเรื่องความร่วมมือทางการทหาร และสนับสนุนด้านความมั่นคงต่างๆ กับทางการญี่ปุ่น ภายใต้การนำของนายชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของญี่ปุ่น และมีนายเก็น นาคาตานิ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
โดยรัฐมนตรีเฮกเซท ได้พูดถึงแผนการที่จะมีการปรับกระบวนยุทธ์ของฐานทัพสหรัฐฯ ในญี่ปุ่นอย่างขนานใหญ่
ไล่ไปตั้งแต่อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ สำหรับใช้ในปฏิบัติการสู้รบโจมตี ที่ต้องถูกพัฒนาไปจากเดิม ที่นอกจากฝูงบินขับไล่ กองเรือรบ กองเรือดำน้ำที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์ ก็จะต้องมีระบบขีปนาวุธพิสัยทำการต่างๆ และโดรนทางการทหาร ซึ่งมีเทคโนโลยีล้ำสมัย ที่กำลังเป็นอาวุธหลัก อาวุธสำคัญในการทำสงครามสู้รบตามสมรภูมิต่างๆ หลายแห่งในโลกปัจจุบัน เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน สงครามอิสราเอลกับกลุ่มติดอาวุธต่างๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง เป็นต้น
รัฐมนตรีเพนตากอน “เฮกเซท” ยังพูดถึงระบบขีปนาวุธแบบ “แอมแรม” ซึ่งเป็นขีปนาวุธที่ยิงจากอากาศสู่อากาศ ที่สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ร่วมกันพัฒนาและผลิตได้อย่างรวดเร็ว แต่ทางสหรัฐฯ ต้องการให้มีความร่วมมือมากขึ้นไปยิ่งกว่านั้น รวมถึงการร่วมกันพัฒนาและผลิตขีปนาวุธแบบ “เอสเอ็ม-6” ซึ่งเป็นขีปนาวุธที่ยิงจากพื้นดินสู่อากาศ
โดยขีนาวุธแบบ “เอสเอ็ม-6” ข้างต้นนั้น ทางการสหรัฐฯ ระบุจากการทดสอบประสิทธิภาพว่า มันสามารถยิงสกัดขีปนาวุธที่มีความเร็วเหนือเสียง หรือไฮเปร์โซนิกได้ด้วย
นอกจากนี้ แผนการอัพเกรดฐานทัพสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น ก็ยังรวมถึงการเพิ่มอัตรากำลังพลของทหารสหรัฐฯ ที่จะมาประจำการในญี่ปุ่นอีกต่างหากด้วย
ทั้งนี้ การอัพเกรดฐานทัพสหรัฐฯ ในญี่ปุ่นครั้งใหญ่ตามแผนการล่าสุดของสหรัฐฯ ก็เพื่อเตรียมรับมือจีน ที่กำลังขยายอิทธิพลในพื้นที่ย่านฟากตะวันตกมหาสมุทรแปซิฟิกแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง นั่นเอง
โดยล่าสุด กองทัพจีน ก็ได้แสดงแสนยานุภาพผ่านการซ้อมรบบริเวณช่องแคบไต้หวัน เพื่อข่มขวัญไต้หวัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งชาติพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน ซึ่งจากการขยายอิทธิพลของจีนในภูมิภาคนี้ดังกล่าว ก่อนหน้านั้นก็ทำให้ญี่ปุ่น ประเทศที่อยู่ใกล้กับจีน ต้องมีแผนเพิ่มงบประมาณด้านการทหารครั้งประวัติศาสตร์มาแล้วเช่นกัน เพื่อเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันได้
พร้อมกันนี้ เจ้ากระทรวงเพนตากอน อดีตซึ่งเคยเป็นเจ้าหน้าที่กำลังพลของกองพิทักษ์รักษาดินแดนของสหรัฐฯ ก็ระบุว่า แผนการอัพเกรดฐานทัพสหรัฐฯ ในญี่ปุ่นนั้น เป็นไปเพื่อการสร้างสันติภาพ โดยเน้นย้ำทิ้งท้ายว่า อเมริกาและญี่ปุ่น พวกเราแสวงหาสันติภาพ