ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
หลังจากได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งในฐานะประธานาธิบดีของสหรัฐฯ แล้วทรัมป์ก็ประกาศนโยบายสำคัญภายในประเทศ คือ จะลดภาษีคนรวย และธุรกิจขนาดใหญ่ ในขณะที่จะขึ้นภาษีศุลกากรกับต่างชาติ อันจะมีผลทำให้ราคาสินค้า โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคที่สหรัฐฯจะนำเข้าเป็นส่วนใหญ่ มีราคาเพิ่มสูงขึ้น อันจะทำให้เป็นภาระกับคนชั้นกลางและระดับล่าง เพราะคนเหล่านี้จะต้องใช้รายได้ส่วนใหญ่ในการจัดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคประจำวันของตน
แต่ทรัมป์ก็อ้างว่าการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เป็นการปกป้องอุตสาหกรรมภายใน เพื่อจะได้มีการขยายการจ้างงาน ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงหลายทศวรรษมานี้ ประกอบกับการพัฒนาทักษะในการทำงานของแรงงานที่จะรองรับงานที่จะเกิดใหม่ได้รวดเร็วทันการหรือไม่
นอกจากนี้ทรัมป์ยังลุยเนรเทศแรงงานต่างชาติที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย และได้รับการผ่อนปรนในสมัยรัฐบาลเดโมแครต โดยทำการจับกุมและเนรเทศออกไปเป็นจำนวนมาก ทำให้บางภาคของเศรษฐกิจ เช่น ภาคการเกษตรในรัฐทางใต้เกิดการขาดแคลนแรงงาน จนฟาร์มหลายแห่งต้องปิดตัวลง และคาดว่าจะมีการขายธุรกิจการเกษตรกันเป็นจำนวนไม่น้อยให้กับบริษัทใหญ่อย่างมอนเซนโตและดูปอง ซึ่งในระหว่างนี้ราคาอาหารและพืชผลการเกษตรและผลิตผลจากฟาร์มก็จะมีราคาเพิ่มสูงขึ้น ไปซ้ำเติมภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์พลอยเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งค่าเช่าที่อยู่อาศัย
ส่วนภาคการเงิน ตลาดหุ้น กำลังอยู่ในภาวะขาลง คือ ราคาหุ้นโดยเฉลี่ยลดลงมาตลอด เพราะนักลงทุนมองว่าตลาดหุ้นอยู่ในภาวะฟองสบู่ จึงค่อยๆทยอยกันเทขายเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นหุ้นบางตัว
การที่อสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะอาคารที่อยู่อาศัยจะมีราคาเพิ่มขึ้น จะทำให้คนรุ่นใหม่ไม่มีความสามารถพอที่จะซื้อบ้านที่อยู่อาศัย และค่าเช่าก็จะเพิ่มขึ้นนอกจากนี้รายได้ที่แท้จริงของคนชั้นกลางจะลดลงจนไม่อาจซื้อบ้านได้แม้ราคาจะลดลงก็ตาม
ในการนี้ผลประโยชน์จำนวนมากก็จะไปตกอยู่กับบริษัทจัดการอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ คือ Black Stone ซึ่งก็เป็นผู้สนับสนุนการเงินรายใหญ่กับทรัมป์
ส่วนบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดระหว่างประเทศ คือ Black Rock อันนี้ CEO แรลี ฟิง ที่สนิทสนมและต่อสายตรงได้กับทรัมป์ ก็กลายเป็นมือไม้ที่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ระหว่างประเทศ เช่น การไปบีบซื้อท่าเรือทั้ง 2 ฝั่งของคลองปานามา จากบริษัทที่มีฐานอยู่ในฮ่องกง นอกจากนี้ Black Rock ก็จะเป็นผู้จัดการผลประโยชน์ให้สหรัฐฯ เก็บเกี่ยว เช่น ติดตามเก็บผลประโยชน์จากยูเครน ที่สหรัฐฯขนอาวุธไปสนับสนุนให้ทำสงครามกับรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์จากที่ดินทำการเกษตร หรือจากการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth Mineral)
นอกจากนี้เมื่อมีการแต่งตั้งรัฐบาลทรัมป์ก็ทยอยแต่งตั้งมหาเศรษฐีเหล่านั้นที่ให้การสนับสนุนทางการเงินให้เป็นรัฐมนตรีหรือทูตในประเทศต่างๆ ซึ่งขณะนี้ยังไม่นิ่ง แต่ก็พอจะลำดับรายชื่อได้ดังต่อไปนี้
1.อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ Tesla และ Spacex ได้รับแต่งตั้งให้เป็น รมต.กระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (Doge) ซึ่งเป็นกระทรวงตั้งใหม่
2.เฮาเวิร์ด ลัตนิก ซีอีโอของ Cantor Fitzgerald เป็นรมต.กระทรวงพาณิชย์
3.ลินดา แมคมาฮอน อดีตซีอีโอ World Wrestling Entertainnment (WWE) รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ
4.สก็อตต์ เบสเซนต์ ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันและพันธมิตรทางธุรกิจของจอร์ชโซรอส เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง
5.เลอันโดร ริซซูโต จูเนียร์ ผู้บริหาร CONAIR ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำองค์การแห่งรัฐอเมริกา
6.วอร์เรน สตีเฟนส์ นักการเงินและนักลงทุนเป็นเอกอัครราชทูตประจำสหราชอาณาจักร (UK)
7.ชาร์ล คุชเนอร์ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (พ่อจาเรท คุชเนอร์ลูกเขยทรัมป์) เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำฝรั่งเศส
8.ทอม บาร์ค นักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำตุรเคีย
นอกจากนี้ทรัมป์ยังแต่งตั้งผู้ที่มีความใกล้ชิดและเชื่อว่ามีความจงรักภักดีต่อตน โดยอาจไม่มีทักษะพอในการบริหารงานในองค์กรนั้นๆ เช่น
1.ผอ.หน่วยข่าวกรองแห่งชาติ ทุลซี แกบบาด เชื้อสายฮินดู-อินเดีย อดีตสส.พรรคเดโมแครต
2.ผอ. เอฟบีไอ แคช พาเทล เชื้อสายฮินดู-อินเดีย ผู้ช่วยดำเนินการหาเสียงของทรัมป์ คนเขียนหนังสือวิจารณ์เกี่ยวกับการดำเนินการของเอฟบีไอ
3.ผอ. ซีไอเอ จอห์น แรดคลิฟฟ์ อดีตผอ.ข่าวกรองกลาง ซึ่งมีข้อครหาถึงความเวอร์วัง อลังการในการโฆษณาตนเอง
4.รมต.กลาโหม พีช แฮกเซท อดีตนักวิจารณ์ข่าว FOX NEWS
5.รมต.การต่างประเทศ มาโก รูบิโอ อดีตกรรมาธิการต่างประเทศวุฒิสภา
6.ที่ปรึกษาความมั่นคง ไมค์ วอลซ์ สส.แคลิฟอร์เนีย
แม้ว่าบางคนอาจจะมีประสบการณ์เกี่ยวข้องอยู่บ้าง แต่ก็ไม่จัดว่ามีทักษะที่เหมาะสมเท่าไร เพราะทรัมป์เน้นความจงรักภักดี และคอยพูดสนับสนุนทรัมป์หรือขยายความให้ทรัมป์เท่านั้น ยิ่งล่าสุดไมค์วอลซ์ ยังไปเชิญบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ The Atlantic คือ นายโกลเบิร์ก บรรณาธิการเข้าในกลุ่มลับ Signal โดยไม่มีการตรวจสอบให้รอบคอบจนเกิดข่าวรั่วขึ้น ก็เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความเลินเล่อที่ไม่ตรวจสอบการร่วมกลุ่มในข่าวลับ เช่น การเตรียมการโจมตีฮูตีที่ผิดกฎหมาย ดังปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว
อย่างไรก็ตามการแต่งตั้งบุคคลในคณะรัฐบาลนี้ส่อเค้าว่าจะเป็นการเอื้อหรือมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนในทางธุรกิจมากกว่าจะพิจารณาถึงความสามารถในการทำงานให้ประเทศที่สำคัญคนพวกนี้เป็นหรือผู้สนับสนุนไซออนิสต์ทั้งแผง รวมทั้งสตืฟ วิทคอฟ ผู้แทนส่วนตัวของทรัมป์ในการเจรจาทั้งในรัสเซีย-ยูเครนและในตะวันออกกลาง
และนี่ยังคงไม่จบ ยังจะมีการทยอยแต่งตั้งกันอีกไม่น้อย เช่น ทีโมที เมลลอน นักธุรกิจการเงิน ริชาร์ด ปูเลน บริษัทยูไลน์ มิเรียม อดัมสัน เจ้าของกาสิโนใหญ่ จอห์น พอลซัน นักธุรกิจใหญ่
อย่างไรก็ตามนโยบายหลักของทรัมป์จะสร้างปัญหาภายในให้สหรัฐฯคือคนชั้นกลางและชั้นล่างจะต้องรับภาระการครองชีพที่หนักหน่วงจากเงินเฟ้อ ทำให้ไม่อาจมีบ้านของตนเองแต่ค่าเช่าจะเพิ่มเป็น49%ของรายได้ที่เหลือ51%ซึ่งแทบไม่พอในการบริโภค
นอกจากนี้การขึ้นภาษีศุลกากรจะไปกระตุ้นให้เกิดสงครามการค้าทำให้เศรษฐกิจโลกหดตัว จนทำให้อัตราการเจริญเติบโตของสหรัฐฯลดลง เกิดการชะลอตัว ในขณะเกิดเงินเฟ้อนั่นคือStagflation ซึ่งจะทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปได้ยากไม่ว่าจะใช้นโยบายการเงินโดยเฟดหรือนโยบายการคลังโดยรัฐบาล
ส่วนการต่างประเทศสหรัฐฯในยุคทรัมป์ก็สร้างศัตรูไปรอบทิศทั้งในระดับรัฐบาลและระดับประชาชน ทำให้นึกถึงคำกล่าวของนายเฮนรี คิสซิงเจอร์ที่บอกว่า "เป็นศัตรูกับสหรัฐฯอันตรายแต่เป็นมิตรถึงตาย"