แผ่นดินไหวกรุงเทพฯ กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ทุกครั้งที่ประชาชนรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน แม้ศูนย์กลางของแรงสั่นจะไม่ได้อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยตรง แต่ก็ชัดเจนว่า “เมืองหลวงของไทย” ไม่ได้ปลอดภัยจากภัยพิบัตินี้อย่างที่หลายคนเคยเชื่อ
บทความนี้จะพาไป “ถอดบทเรียนจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ” พร้อมส่อง “ความเสี่ยง” และ “แนวทางเตรียมพร้อม” ที่ทั้งภาครัฐและประชาชนไม่ควรมองข้าม
กรุงเทพฯ เสี่ยงแค่ไหนกับแผ่นดินไหว?
แม้กรุงเทพฯ จะไม่ได้ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนหลักของแผ่นเปลือกโลก แต่แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวในภาคเหนือหรือภาคตะวันตกของไทย เช่น เชียงราย ตาก กาญจนบุรี หรือแม้แต่จากประเทศเพื่อนบ้าน ก็สามารถส่งแรงสั่นสะเทือนมายังอาคารในเมืองหลวงได้
ยิ่งไปกว่านั้น พื้นที่กรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนชั้นดินเหนียวอ่อน ซึ่งมีคุณสมบัติ “ขยายแรงสั่นสะเทือน” ทำให้ความรู้สึกของแผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ บางครั้งอาจแรงกว่าในพื้นที่ศูนย์กลางของแผ่นดินไหวเอง
เหตุการณ์จริงที่คนกรุงเทพฯ ยังจำได้
1.แผ่นดินไหวเชียงราย 6.4 แมกนิจูด (ปี 2562)
เกิดขึ้นที่ภาคเหนือของไทย แต่มีประชาชนจำนวนมากในอาคารสูงทั่วกรุงเทพฯ รู้สึกได้ถึงแรงโยก มีการอพยพออกจากอาคารชั่วคราวในหลายพื้นที่
2. แผ่นดินไหวชายแดนเมียนมา 5.8 แมกนิจูด (มีนาคม 2567)
แม้ศูนย์กลางอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ หลายร้อยกิโลเมตร แต่ประชาชนในย่านใจกลางเมือง เช่น สีลม สาทร อโศก ต่างรายงานว่ารู้สึกถึงแรงสั่นบนอาคารสูงชัดเจน
โครงสร้างพื้นฐานกรุงเทพฯ พร้อมรับมือหรือยัง?
* อาคารสูงจำนวนมากในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอาคารที่ก่อสร้างก่อนปี 2550 อาจไม่ได้ออกแบบให้รับแรงแผ่นดินไหวตามมาตรฐานใหม่
* อาคารเก่า-สิ่งปลูกสร้างสาธารณะ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และอาคารสำนักงาน มีความเสี่ยงสูงหากไม่ได้รับการเสริมโครงสร้าง
* การทรุดตัวของผิวดินในกรุงเทพฯ ที่เกิดจากการสูบน้ำใต้ดินในอดีต อาจซ้ำเติมความเปราะบางในกรณีเกิดแรง
ระบบสั่นไหวรุนแรงระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวในไทย
ถึงเวลาต้องพัฒนา ปัจจุบัน กรมอุตุนิยมวิทยามีระบบตรวจจับแผ่นดินไหวที่สามารถรายงานผลได้ภายในไม่กี่นาทีหลังเกิดเหตุ แต่ ยังไม่มีระบบ Early Warning เตือนล่วงหน้าแบบเรียลไทม์ ที่สามารถแจ้งเตือนประชาชนก่อนแรงสั่นไหวจะมาถึงแบบที่ประเทศญี่ปุ่นใช้ นอกจากนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ ยังไม่มีความรู้หรือแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องเมื่อเกิดแผ่นดินไหว เช่น วิธีหลบใต้โต๊ะ หรือการอพยพอย่างปลอดภัย
ถอดบทเรียนเพื่ออนาคต: กรุงเทพฯ ต้องทำอะไรต่อ?
1. ยกระดับระบบเตือนภัยให้รวดเร็วและแม่นยำ
* พัฒนาแอปพลิเคชันหรือระบบแจ้งเตือนผ่านมือถือแบบ Early Warning
* เชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์กับระบบเฝ้าระวังแผ่นดินไหวในประเทศเพื่อนบ้าน
2. ตรวจสอบและเสริมความแข็งแรงของอาคารเก่า
* เร่งสำรวจอาคารสูงและอาคารสาธารณะในพื้นที่กรุงเทพฯ
* สนับสนุนงบประมาณปรับปรุงโครงสร้างให้ทนแรงแผ่นดินไหว
3. ส่งเสริมการเรียนรู้และฝึกซ้อมในชุมชน
* จัดอบรมวิธีรับมือแผ่นดินไหวในโรงเรียน ชุมชน และหน่วยงานราชการ
* จัดซ้อมอพยพในพื้นที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
4. ออกแบบผังเมืองโดยคำนึงถึงภัยพิบัติ
* กำหนดมาตรฐานการก่อสร้างใหม่ให้คำนึงถึงแรงแผ่นดินไหว
* จัดโซนพื้นที่ความเสี่ยงเพื่อวางแผนพัฒนาเมืองในอนาคต
สรุป: แผ่นดินไหวกรุงเทพฯ คือภัยที่ต้อง "ตื่นรู้" ไม่ใช่แค่ "ตื่นกลัว"
เหตุการณ์แผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ ที่ผ่านมา อาจยังไม่ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรง แต่ก็เป็น “สัญญาณเตือน” จากธรรมชาติอย่างชัดเจนว่า กรุงเทพฯ ไม่ได้ปลอดภัยจากแผ่นดินไหวอีกต่อไป
การรอให้เกิดภัยพิบัติแล้วค่อยแก้ไข อาจสายเกินไป สิ่งที่กรุงเทพมหานครและทุกภาคส่วนควรเร่งดำเนินการคือ
* “เตรียมพร้อมระบบเตือนภัยให้ทันสมัย”
* “สำรวจและเสริมความปลอดภัยของอาคาร”
* “สร้างความรู้ให้ประชาชนรับมือกับภัยธรรมชาติได้อย่างมีสติ”
เพราะความสูญเสียจากภัยแผ่นดินไหว ไม่ได้วัดแค่ตัวเลขบนเครื่องวัดแรงสั่นสะเทือน... แต่อาจหมายถึงชีวิต ทรัพย์สิน และอนาคตของเมืองหลวงทั้งเมือง
#แผ่นดินไหวกรุงเทพฯ #ความเสี่ยงแผ่นดินไหวในไทย #เตือนภัยแผ่นดินไหว #อาคารสูงกรุงเทพ #ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว #ดินอ่อนกรุงเทพ #มาตรการรับมือแผ่นดินไหว #แผ่นดินไหวประเทศไทย #ถอดบทเรียนแผ่นดินไหว