วันที่ 25 มี.ค.2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง เป็นประธานในการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

ต่อมาเวลา 16.30 น. นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ ชี้แจงว่า ข้อกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลไม่จริงใจในการปฏิรูปการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ ซึ่งสองเรื่องนี้มีความสำคัญ และรัฐบาลให้ความสนใจ และให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ส่วนเรื่องการดีลกับปีศาจ ดีลข้ามขั้วตนอยู่ในเหตุการณ์เสมอมา โดยหลังการเลือกตั้งครั้งที่แล้วเมื่อพรรคก้าวไกลได้เป็นพรรคอันดับ 1 ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเราก็แสดงความยินดี และให้ความสำคัญกับพรรคอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาล

ซึ่งในฐานะพรรคอันดับ 2 ก็ไม่แข่งขัน แม้ไม่มีกฎข้อห้ามว่าพรรคอันดับ 2 สามารถจัดตั้งไม่ได้ก็ตาม จนท้ายที่สุดเหตุการณ์ผ่านมา การจัดตั้งรัฐบาลมีปัญหา และแกนนำของท่านบอกว่าให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ถึงเกิดเป็นรัฐบาลนี้ขึ้น และทุกคนก็ทราบดีว่ามีความเป็นมาอย่างไร ที่ตนกล่าวเช่นนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าดีลข้ามขั้ว หรือดีลกับปีศาจนั้นเป็นเรื่องที่อาจจะมโนกันไปเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริง

นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า การปฏิรูปการเมือง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2567 ซึ่งมีนโยบายเด่นอันหนึ่งที่ไม่เคยเห็นในรัฐบาลไหนแถลงแบบนี้มาก่อน โดยมีการวิเคราะห์ปัญหาของสังคมไทยในปัจจุบันว่ามีความท้าทาย 8 ประการ ซึ่งในประการที่ 7 ตามนโยบายของรัฐบาลระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยเผชิญกับความไร้เสถียรภาพทางการเมืองมายาวนาน เป็นผลจากการรัฐประหาร ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง รวมถึงการถอดถอนรัฐบาลออกจากอำนาจในแบบที่คาดเดาไม่ได้ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ และการลงทุนในประเทศไทยอย่างรุนแรง โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงจำเป็นต้องร่วมมือกันปฏิรูปการเมือง ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งกำหนดหมวดว่าด้วยการปฏิรูปไว้ท้ายรัฐธรรมนูญว่า ให้ตรากฎหมายว่าด้วยแผนและการปฏิรูปประเทศ และให้เริ่มทำภายใน 1 ปี แต่การปฏิรูปการเมืองก็ไม่เกิดขึ้นเพราะผู้ร่างรัฐธรรมนูญก็เป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมืองด้วย ที่ออกมาก็เป็นคนละเรื่องกับการที่เราจะปฏิรูปการเมืองมีแต่กำจัด มีแต่การควบคุม การยุบพรรคการเมือง การใช้อำนาจกำกับดูแลพรรคการเมืองให้อยู่กับร่องกับรอย 

รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวอีกว่า สำหรับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ปัญหาใหญ่คือการมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4/2564 มีสาระสำคัญที่เป็นปัญหาคือจะทำประชามติกี่ครั้งกันแน่ เพราะรัฐธรรมนูญ ปี 2560 เกิดขึ้นจากการทำประชามติ ถ้าทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็ต้องถามประชาชนก่อนว่าจะประสงค์มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ทำให้เกิดการตีความเป็น 2 นัยะ 1. ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าต้องทำ 3 ครั้ง 2. ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าทำ 2 ท้ายสุดเกิดการยื่นญัตติขอแก้ไขมาตรา 256 เพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ขณะนั้นประธานสภาสั่งไม่บรรจุ แปลว่า สภาเห็นว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้ง รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ตัดสินใจทำเรื่องรัฐธรรมนูญต่อโดยตั้งกรรมการ 1 ชุด มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และกรรมการทุกคนตัดสินใจว่า 1.ทำประชามติ 3 ครั้ง 2. แก้กฎหมายประชามติ ขณะที่ รัฐสภากลับไม่บรรจุวาระ และนำเรื่องนี้เข้าสู่ครม. เป็นมติครม เห็นชอบให้ทำประชามติ 3 ครั้ง ให้แก้กฎหมายประชามติ ท้ายสุด กฎหมายก็ประสบปัญหา ขณะนี้ก็รอเวลา 180 วัน และให้แต่ละพรรคการเมืองเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของตัวเองกลับมาเพื่อพิจารณาร่วมกันกันก่อนจะเกิดเหตุการณ์อย่างที่ว่า

“โดยรวมเรามีมติรัฐสภาไปแล้วว่า ให้สอบถามศาลรัฐธรรมนูญ หากวินิจฉัยออกมาชี้ขาดว่าทำประชามติกี่ครั้งเราก็เดินตามนั้น หากเป็นไปได้ให้ทำ 2 ครั้ง ญัตติที่เราเสนอค้างอยู่ ในรัฐสภาก็จะเดินหน้า ก็จะประกบกับ 180 วันของกฎหมายประชามติพอดี ดังนั้นเรามีความจริงใจว่าอยากจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สำเร็จให้ได้” นายชูศักดิ์ กล่าว