ผู้กำกับสัตหีบรุดเยี่ยมรองสารวัตรถูกดาบตำรวจทำร้าย แพทย์ยังติดตามอาการใกล้ชิดหลังพบเลือดคั่งในสมอง ล่าสุดศาลจังหวัดพัทยาให้ประกันตัว 1 แสนบาท

จากกรณี เมื่อเวลา 03.20 น. ของวันที่ 25 มี.ค.68  ร.ต.ต.พาสกร ภาชูระเบียบนา รอง สวป.สภ.สัตหีบ ปฏิบัติหน้าที่ ตู้ยามบ้านเตาถ่าน ถูกคนร้ายทำร้ายร่างกายอาการสาหัส ก่อนแย่งชิงอาวุธปืนประจำตัว ขนาด 9 มม.ไป บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 105/51 ม.4 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี หลังเข้าระงับเหตุ หญิงสาวร้องขอความช่วยเหลือถูกอดีตแฟนหนุ่ม บุกรุกเข้ามาในบ้านทุบกระจกบ้านแตกหวังเข้าไปจะทำร้ายร่างกาย ก่อนถูกทำร้ายร่างกายและแย่งชิงอาวุธปีนไป ทราบชื่อผู้ก่อเหตุ คือ ดาบตำรวจ กิตติศักดิ์ อายุ 37 ปี สังกัดตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) หลังเกิดเหตุได้หลบหนีไป ก่อนเข้ามอบตัวในเวลาต่อมา ก่อนโดนแจ้งข้อกล่าวหา  เข้าไปกระทำการใดๆอันเป็นการรบกวนการครอบครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข โดยใช้กำลังประทุษร้าย ในเวลากลางคืน, ทำให้เสียทรัพย์, ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจและชิงทรัพย์ เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปหรือให้พ้นการจับกุม  ร่วมทั้งหมด 4 ข้อหา

ช่วงบ่ายวันนี้ 25  มี.ค. 68 ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พ.ต.อ.คมสรร คำตุ่นแก้ว ผกก.สภ.สัตหีบ ได้นำกระเช้าผลไม้และเครื่องดื่ม เข้าเยี่ยมดูอาการ ร.ต.ต.พาสกร พาชูระเบียบนา ที่นอนพักรักษาตัว ณ หอผู้ป่วยชาย  พร้อมสอบถามอาการเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ
โดยจะให้ความเป็นธรรม และดำเนินคดีเอาผิดกับผู้ก่อเหตุอย่างถึงที่สุด โดยผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ได้ฝากความห่วงใยเป็นห่วงมา ส่วนอาการบาดเจ็บนั้นขณะนี้แพทย์ให้งดน้ำงดอาหาร และนอนรอดูอาการ เนื่องจากมีเลือดคั่งในสมอง และมีอาการปวดหัว แต่ยังสามารถพูดคุยได้ 

ส่วนที่ศาลจังหวัดพัทยา ล่าสุดศาลให้ประกันตัว ดาบตำรวจ กิตติศักดิ์ อายุ 37 ปี  ด้วยหลักทรัพย์จำนวนเงิน 100,000 บาท

ด้านสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง  ล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เบื้องต้นได้สั่งการให้ ผบก.ตม.3 ตรวจสอบ พบว่าผู้ที่ก่อเหตุอยู่ในสังกัดตำรวจตรวจคนเข้าเมืองระยอง ช่วยราชการ สืบ ตม.3 ซึ่งขณะนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และสอบสวนทางวินัยอย่างเด็ดขาดแล้ว 
โดยต้นสังกัดมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เนื่องจากมีการกระทำความผิดในข้อหา ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส และชิงทรัพย์ ซึ่งทาง สตม. จะดูในส่วนของเรื่องวินัย แต่ในคดีอาญานั้นเป็นของตำรวจภูธรภาค 2  การกระทำในครั้งนี้ ที่ก่อเหตุกับตำรวจด้วยกันเองนั้น ค่อนข้างรุนแรง จึงได้สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน