เปิดศึกซักฟอกวันแรกเดือด! “ผู้นำฝ่ายค้านฯ” ฉะ “นายกฯอิ๊งค์” หุ่นเชิด พา “ทักษิณ” กลับไทยสวมรอย “ผู้นำนอกระบบ” เปิดดีลแลกประโยชน์ “เจ้าสัว” ซัดสถานะรัฐบาล “คณะร่วมรัฐประหาร” ด้าน“บิ๊กป้อม” อัด “อุ๊งอิ๊งค์” ปล่อย ปชช.หนี้ท่วมหัว หุ้นดิ่งเหว ทำความเชื่อมั่นประเทศถดถอย ลั่น ประเทศชาติ ไม่ใช่เวทีของมือสมัครเล่น "วิโรจน์" ชำแหละ "อิ๊งค์" หนีภาษี ทำนิติกรรมบังหน้า บ่อนทำลายประเทศ ไล่พ้นตึกไทยฯ กลับ “กงสีจันทร์ส่องหล้า” ส่วน “สุทิน” เย้ยฝ่ายค้านซักฟอกมีแต่นามธรรม-คาดหวังไม่ได้ เย้ยข้อมูล “บิ๊กป้อม” ไม่ถึงขั้นอภิปรายไม่ไว้วางใจ

เมื่อเวลา 08.15 น.วันที่ 24 มี.ค. 68 ที่อาคารรัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเข้าร่วมประชุมสภาในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นวันแรก

ทั้งนี้ เมื่อมาถึงผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อคืนหลับสบายหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า หลับสบาย เมื่อถามอีกว่า รู้สึกกังวลอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า โอเคนะ ก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นมาก แต่อาจจะตื่นเช้า ตื่นก่อนนาฬิกาปลุกเล็กน้อย

เมื่อถามว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯระบุว่าได้มีการติวการบ้านกับนายกฯ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า“คุณพ่อแวะมาเจอที่บ้านก่อนที่จะไปร่วมงานแต่งเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ก็มีหลายประเด็นที่คุยกัน มีการถามเรื่องเศรษฐกิจว่ามีความคิดเห็นอย่างไร ส่วนเรื่องการอภิปรายฯก็มีหัวข้อแค่นิดหน่อย ก็ถามว่าเข้าใจตรงกันนะ แบบนี้ใช่ไหม และเมื่อสักครู่ คุณพ่อได้โทรศัพท์ให้กำลังใจ พร้อมระบุว่าถ้ามีอะไรก็โทรมา เพราะวันนี้คุณพ่อจะสแตนด์บาย มีอะไรก็โทรไปถามได้ ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มาตลอดทั้งชีวิตอยู่แล้ว”

เมื่อถามอีกว่า มีประเด็นที่พาดพิงตระกูลชินวัตรจะมีการชี้แจงอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า “ประเด็นที่พูดถึงตระกูลชินวัตรมีข้อมูลอะไรก็ตอบไปตามนั้น มันไม่มีอะไร”

ต่อมาเมื่อเวลา 08.20 น. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานในการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ นายกฯตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน พร้อมคณะรวม 165 คนเป็นผู้เสนอว่า  การอภิปรายฯ นายกฯ เพราะไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม ขาดวุฒิภาวะ ความรู้ความสามารถและเจตจำนงในการบริหารราชการแผ่นดิน จงใจลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ไม่รับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเอง ครอบครัวและพวกพ้อง ทั้งนี้ไม่ดำเนินการตามนโยบายที่สัญญาไว้ เป็นนั่งร้านช่วยเหลือต่างตอบแทนของกลุ่มบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย บริหารบ้านเมืองผิดพลาด ล้มเหลว  ยอมให้บุคคลในครอบครัวชี้นำ ชักใยให้ทำหรืองดเว้นการกระทำที่เป็นเรื่องสำคัญของบ้านเมือง ประพฤติตนเป็นเสมือนนายกฯหุ่นเชิด โดยมีบุคคลในครอบครัวเป็นนายกฯตัวตริงที่ไม่รับผิดชอบการใช้อำนาจ การบริหารราชการแผ่นดินเกิดดีลแลกประเทศ ที่คนตระกูลชินวัตรยึดเป็นแกนกลาง และมีกลุ่มผลประโยชน์เป็นแกนรอง และผลประโยชน์ของประเทศที่พูดไว้ตอนจะเลือกตั้ง 

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า นายกฯ และครม. และพรรคร่วมรัฐบาล เล่นเกมเดียวกันมาตั้งแต่แรก มีการแลกดีลผลประโยชน์ เช่น เรื่องการเมือง รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทำให้ประชาธิปไตยประเทศถดถอย ซึ่งคะแนนวัดอันดับทางการเมืองตกต่ำลง จัดในกลุ่มประชาธิปไตยบกพร่อง แก้รัฐธรรมนูญไม่คืบหน้า และถูกนานาชาติประณามเพราะส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน ด้านเศรษฐกิจ พายุหมุนทางเศรษฐกิจไม่เคยเกิดขึ้น จากที่ระบุว่าจะได้ 5% เหลือ 2.5% ไม่เหมือนคำโฆษณาแต่ทิ้งไว้ที่ราคาที่สังคมไทยต้องจ่ายมหาศาล และทำให้คิดไปทำไป การบริหารประเทศได้นายทักษิณกลับมาเหมือนได้ผู้นำแพคคู่ คนหนึ่งมีประสบการณ์ อีกคนอยู่ในตำแหน่งเป็นคนรุ่นใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นมีผู้นำนอกระบบ ทำงานนอกทำเนียบฯ ชี้นำ นำหน้ารัฐบาล ไม่มีการรับผิดรับชอบเพราะไม่ถูกตรวจสอบ ส่วนคนในระบบ กลับขาดความรู้ความสามารถ วุฒิภาวะ และเจตจำนงทางการเมือง ทั้งนี้ประเทศไทยเสีย 2 ต่อ เพราะมีคนที่ลอยตัว ส่วนคนที่ถืออำนาจนั้นขาดคุณสมบัติ

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ขณะที่ชาวสวนมีปัญหาเรื่องน้ำต้องใช้ไฟฟ้าสูบน้ำเพื่อใช้ แต่กลับพบภาพอดีตนายกฯ ออกรอบตีกอล์ฟกับนายทุนพลังงาน เพื่อดีลสัมปทานไฟฟ้ามูลค่าหลายแสนล้านบาท สูบเงินในกระเป๋าชาวสวนให้กับเจ้าสัว  ขณะที่อดีตนายกฯนอกระบบได้รับสิทธิอยู่ชั้น 14 เหนือระบบยุติธรรม ที่มี น.ส.แพทองธาร รับรู้ รับทราบสถานะของบิดามาโดยตลอด นอกจากนั้นในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีฉันทามติ แต่น.ส.แพทองธาร ตอกฝาโลงเรียบร้อยว่าไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทัน ที่คุยกันในรัฐสภาเป็นละครปาหี่ที่พรรคร่วมรัฐบาลไม่ต้องให้แก้ไข ทำให้ประเทศไทยต้อสูญเสียประโยชน์ ต้องอยู่กับรัฐธรรมนูญของคสช.

“การแจกเงินหมื่นไม่สร้างการเติบโตเศรฐกิจไทย การสร้างเอ็นเตอร์เทนเม้นต์คอมเพล็กซ์ เห็นชัดล่วงหน้าว่าจะมีกลุ่มทุนที่ใกล้ชิดรัฐบาลที่ได้รับประโยชน์ เป็นการสูญเสียโอกาสของคนไทยที่ได้รัฐบาลคิดไปทำไป ดีลแลกประเทศมีคนไม่ถึง 1% ได้รับผลประโยชน์ แม้จะทำลายระบบนิติรัฐ นิติธรรม ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ตกต่ำยิ่งกว่ารัฐบาลของคสช. ซึ่งอนาคตมีสิ่งที่ประเทศไทยต้องจ่ายมหาศาล ทั้งนี้สิ่งที่เราได้รับคือ พวกเราอ่อนแอ ไม่กล้าหวังอนาคตที่ดีกว่า ทั้งนี้การจัดตั้งรัฐบาลของดีลแลกประเทศ ทำให้ได้พรรคร่วมคณะรัฐประหาร หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จึงไม่อาจไว้วางใจได้” นายณัฐพงษ์ กล่าว

ต่อมาเมื่อเวลา 09.10 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะ พรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้อภิปรายฯน.ส.แพทองธาร ถึงการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาดล้มเหลวว่า วันนี้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ปัญหาปากท้องไม่ได้รับการแก้ไข ประชาชนหนี้ท่วมหัว ราคาข้าวและพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ตลาดหุ้นดิ่งเหวในรอบ 3 ปี ที่สำคัญ คือ การตัดสินใจผิดพลาด ขาดความรู้ ความเข้าใจ เรื่องเศรษฐกิจ ด้วยการตัดงบประมาณ นับแสนล้านบาท ที่ควรอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่นายกฯ กลับเอาเงินก้อนนี้ ไปใช้ แจกเงินหมื่น ซึ่งไม่ได้ผล

“ผมเห็นใจนายกฯที่ต้องเป็นผู้ตัดสินใจ ในเรื่องที่ท่านไม่มีประสบการณ์ แต่เรื่องความมั่นคงของชาติสำคัญอย่างยิ่ง ประเทศชาติไม่ใช่เวที ให้มือสมัครเล่น มาซ้อมมือ” พล.อ.ประวิตรกล่าว

พล.อ.ประวิตร กล่าวอีกว่า นอกจากนี้นายกฯยังขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) ( 5)ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะเรื่องการถือหุ้น บริษัทอัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด ตลอดจนการปล่อยปละละเลย ให้บุคคลในครอบครัวกระทำการ ให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน เรื่องนี้ขอให้เป็นการตรวจสอบขององค์กรที่เกี่ยวข้องต่อไป ผลเป็นเช่นไร ตนเชื่อว่าประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินท่านเอง

“ทั้งหมดที่ผมกล่าวมา ไม่ใช่การกล่าวด้วยอคติ แต่ข้อมูลหลักฐานต่างๆ สส. พรรคพลังประชารัฐอีก 4 ท่านจะนำเสนอในรายละเอียดต่อไป ผมขอขอบคุณ สส.ทุกท่านในที่นี้ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และประชาชนทุกคน ที่รับฟังในสิ่งที่ผมพูด  ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง อาจไม่กระฉับกระเฉงเท่าตอนเป็นหนุ่มๆ ผมจึงใช้ “ ใจบันดาลแรง ”บริหารประเทศ ให้สำเร็จมาได้หลายอย่าง ส่วนนายกรัฐมนตรีเป็นคนหนุ่มสาวที่ยังมีแรง ผมเชื่อว่าถ้าท่านบริหารประเทศด้วยสติปัญญา  มีความอ่อนน้อม แต่หนักแน่นในหลักการ ยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าครอบครัว พวกพ้อง ผมเชื่อว่าประชาชน จะชื่นชมและยอมรับท่านเองครับ ขอให้โชคดีครับ”พล.อ.ประวิตร กล่าวทิ้งท้าย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันที่พล.อ.ประวิตร อภิปรายจบ น.ส.แพทองธาร ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า  เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีสมาชิกฝ่ายค้านขึ้นมาอภิปรายในประเด็นต่างๆต่อจากนี้อีกหลายท่านและตนเองพยายามจะตอบทุกๆหัวข้อจะได้มีความสบายใจเกิดขึ้น สำหรับสมาชิกหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐผู้อาวุโสเมื่อกี้ตนเองได้ฟังท่านผู้และจับเวลานาฬิกาด้วยตัวเอง ท่านผู้ประมาณ 10 นาที และอยากจะบอกว่า ที่ท่านสมาชิกอาวุโสพูดเมื่อสักครู่นี้ไม่เป็นความจริงค่ะ” น.ส.แพทองธาร กล่าวพร้อมยิ้มมุมปาก ก่อนจะลงนั่งเก้าอี้ตำแหน่งนายกฯ

ต่อมาเมื่อเวลา 09.38 น. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายว่า คุณสมบัตินายกฯ ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง  นอกจากนี้ หน้าที่ของปวงชนชาวไทย ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า บุคคลมีหน้าที่เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้รับการยกเว้น  โดยสำนึกแล้วคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องการเสียภาษีด้วยซ้ำ ถ้าตัวนายกรัฐมนตรียังทำตัวหนีภาษี ความเป็นธรรมในเรื่องภาษีจะเกิดขึ้นกับประชาชนได้อย่างไร การที่คนรวยบางกลุ่มบางก้อนใช้ช่องว่างทางกฎหมายในการหลบเลี่ยงภาษี ซ้ำร้ายในหลายกรณีเป็นการกระทำที่เข้าข่ายการหลีกเลี่ยง หรือการหนีภาษีด้วยซ้ำ จึงทำให้ภาระทางภาษีตกอยู่กับมนุษย์เงินเดือน คนชั้นกลางประชาชนชาวรากหญ้า ดังนั้น พฤติกรรมการใช้ช่องว่างทางกฎหมายในการหลีกเลี่ยง หรือเรียกง่ายๆ ว่าหนีภาษี จึงเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ เป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชน ตนนึกไม่ถึงว่าพฤติกรรมที่น่าอดสูแบบนี้ จะเกิดขึ้นกับคนที่ชื่อว่าแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า การอภิปรายในวันนี้จึงไม่ใช่แค่ไม่ไว้วางใจนายกฯที่ชื่อแพทองธาร แต่เป็นการอภิปรายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ผู้เป็นเจ้าของเงินแผ่นดิน ว่านายกฯใช้ช่องว่างทางกฎหมาย ทำนิติกรรมอำพราง หนีภาษี หนึ่งในคนที่อยู่บนห่วงโซ่อาหารก็คือแพทองธาร ชินวัตร หลังจากที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ นายกฯโอนหุ้นบริษัท 19 บริษัท มูลค่า 9,330.5 ล้านบาท แต่มี 2 บริษัท มูลค่า 393.5 ล้านบาท โอนไปให้แม่และพี่สาว ตนจึงถามว่าเป็นการโอนไปด้วยวิธีการใด เป็นการให้ หรือเป็นการขายหุ้น หุ้นตัวแรก คือ บริษัทอัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ 224.1 ล้านบาท โอนไปให้คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ผู้เป็นแม่ เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2567 และหุ้นตัวที่สอง บริษัทประไหมสุหรี พร็อพเพอร์ตี้จำกัด จำนวน 169.4 ล้านบาท โอนให้  น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ พี่สาว เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2567 ถ้าการโอนหุ้นของนายกฯไปให้แม่และพี่สาว ก็ต้องมีภาระในการจ่ายภาษี กรณีของแม่ต้องเสียภาษีรับให้ 10.2 ล้านบาท ในขณะที่พี่สาว 8 ล้านบาท รวมแล้วรัฐต้องได้ 18.2 ล้านบาท ซึ่งนายกฯทำนิติกรรมอำพรางในการหนีภาษีรับให้มาตั้งแต่ปี 2559  อ้างว่าให้โดยเสน่หา ภาษีซักสลึงก็ไม่ต้องเสีย

ทำให้นางนุชนาถ จารุวงษ์เสถียร  สส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย ลุกประท้วง ว่านายวิโรจน์ไม่รู้สี่รู้แปด ทำให้ประธานสภาตักเตือนว่าอย่าใช้คำพูดประเด็นนี้ เขายังพูดอยู่ในประเด็น  นายวิโรจน์ จึงถามว่า นางนุชนาถประท้วงตามสัญญาว่าจ้างข้อไหน ทำให้นางนุชนารถ ไม่พอใจ ขอให้ถอนคำพูด นายวิโรจน์ จึงยอมถอน ก่อนกล่าวว่า “ก่อนจะประท้วง ขอให้ท่านผู้ประท้วงร้อง กีกี้” (แปลว่าลิ่วล้อ) จึงยิ่งทำให้นางนุชนารถไม่พอใจ ขอให้ถอนคำพูดคำว่ากี้ๆด้วย นายวิโรจน์ จึงยอมถอน ก่อนจะอภิปรายต่อ

“ซื้อหุ้นกันภาษาอะไร ไม่มีกำหนดว่าจะจ่ายเงินค่าซื้อหุ้นกันเมื่อไหร่ ถ้าชาตินี้ไม่มีใครทวง แพทองธารก็ไม่ต้องจ่าย ลืมไปได้เลยว่าเคยเป็นหนี้ เพราะดอกเบี้ยก็ไม่มีใครคิด แพทองธารไม่ต้องกังวลเลยว่าจะต้องมีภาระในการจ่าย พี่ชาย พี่สาว ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ เป็นเจ้าหนี้ที่แสนดี มีความกรุณามากๆ นอนกอดกระดาษ 9 ใบ โดยที่ไม่รู้ว่าเงิน 4,434.5 ล้านบาท จะได้เมื่อไหร่ โอ้โห ถ้าตั๋ว PN ทั้ง 9 ใบนี้ เป็นจริงตามที่ผมว่า ก็แสดงว่าการซื้อหุ้นของแพทองธาร ทำนิติกรรมบังหน้า เอาเปรียบประชาชน เป็นการบ่อนทำลายประเทศ”

ทำให้ ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลุกประท้วงว่า ประธานต้องควบคุมเตือนและตักเตือนนายวิโรจน์ เรื่องมาตรฐานจริยธรรม นายวิโรจน์ต้องรับผิดชอบในการเอาเอกสารต่างๆ ที่นำมาบรรยาย ถ้าไม่ใช่ความจริง ทำให้นายวิโรจน์ ตอบโต้ว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารในการชี้แจง ฝ่ายบริวารอย่ามายุ่ง แต่ ทพญ.ศรีดาดา ไม่ยอม ระบุว่า ช่วยกรุณาถอนคำพูดด้วย การส่อเสียดกันมันไม่ควรเกิดขึ้น แต่นายวิโรจน์ไม่จบ กล่าวเล่นมุกต่อว่า ถ้าเป็นหมอฟัน ก็ถอนอยู่แล้ว

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า การออกตั๋ว PN เป็นการซื้อเชื่อรายคนให้กับญาติ โดยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการซื้อปลอม ทำให้คนในครอบครัว คนในกงสี ไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเลยแม้แต่บาทเดียว นายกฯและญาติติโกโหติกาก็ไม่ต้องจ่ายภาษีอะไร แม้แต่เศษเนื้อเศษกระดูกก็ไม่ให้ตกถึงท้องสรรพากร ติ๊งต่างทำเป็นซื้อ ซึ่งได้มาจากการให้เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีรับให้ วันนี้หมดเวลาที่แพทองธารจะทำกงสี เตรียมกระดาษเงินกระดาษทองทำกงเต็กได้เลย ตนไม่ได้รังเกียจคนรวย เพราะคนรวยคนอื่น เวลาที่เขาจะให้หุ้นลูก ให้เงินหลาน เขาก็เสียภาษีอย่างถูกต้อง แพทองธาร เขาเป็นคนแบบไหน เสียภาษีแบบมนุษย์มนา ตรงไปตรงมาไม่ได้หรืออย่างไร คนหนีภาษีแบบนี้เรายังสมควรให้ลอยหน้าลอยตาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ต่อไปได้อย่างไร หน้าที่ของคนทั่วไปยังทำไม่ได้แล้วยังลอยหน้าลอยตาเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำของคนไทยทั้งประเทศได้อย่างไร” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีใช้ตั๋ว PN สร้างหนี้ปลอม หลีกเลี่ยงภาษีจำนวนสูงถึง 218.7ล้านบาท ตนอยากรู้จริงๆ ว่าชีวิตที่เป็นปลวกเป็นเพลี้ย คอยเอาเปรียบประชาชน ฉ้อฉลประเทศแบบนี้ เวลาที่คนอย่างแพทองธาร ชินวัตร เดินเฉิดฉายอยู่กลางแจ้ง เขาไม่เคยรู้สึกสำนึกสำเหนียกอายฟ้าอายดินบ้างหรือทำให้นายวันมูหะมัดนอร์ เตือนว่า ให้ระวังการใช้คำส่อเสียด แต่นายวิโรจน์แย้งว่าเวลาพูดถึงคนหนีภาษีมันเดือด

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรีหนีภาษีถึงเกือบ 15% ของภาษีมรดกที่จัดเก็บได้ในปี 2567 ซึ่งถ้าพิจารณาถึงกระบวนท่ากันจริงๆ ถือเป็นกระบวนท่าที่ใช้ภายในจักรวาลชินวัตร ถ้าติดตามนวนิยายจีน จะทราบดีว่าเป็นเทคนิคการเคลื่อนย้ายจักรวาลที่เคยสั่นสะเทือนมาแล้วเมื่อปี 2544 หรือเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนั้นเจ้าสำนักไม่ใช่ใครยักย้ายถ่ายเท หรือซุกหุ้นกันในเฉพาะเครือญาติ แต่ถึงกับเอาไปซุกไว้กับคนรับใช้ เอาไปให้คนขับรถ ล้ำลึกมากๆ ตนประเด็นที่อภิปรายในวันนี้ไปยื่นให้อธิบดีกรมสรรพากร เพื่อตรวจสอบต่อ

ทำให้นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประท้วงว่า ออกทะเล ขณะที่นางนุชนาถ ลุกประท้วงอีกรอบ ว่านายวิโรจน์จินตนาการกว้างไกลมาก ติดหนังจีนมากเกินไปหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายวันมูหะมัดนอร์ได้ตักเตือนนายวิโรจน์หลายครั้ง ว่าอย่าใช้คำเสียดสี ใส่ร้าย ทำให้นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ประธานวิปฝ่ายค้าน ได้ท้วง ขอให้ประธานวางตัวเป็นกลาง ขนาดองครักษ์พิทักษ์ข้อบังคับเขายังไม่ประท้วงเลย

เมื่อเวลา 11.10 น. นายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงต้นของวันแรก ว่า เท่าที่ฟังนายณัฐพงษ์ พล.อ.ประวิตร และนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ในส่วนนายณัฐพงษ์และ พล.อ.ประวิตร ไม่ต่างจากที่คาดหมาย คือ เป็นนามธรรม เป็นการกล่าวหาลอยๆ มากกว่า ยังขาดตัวบ่งชี้ทางพฤติกรรม เช่น คำว่า ดีลแลกประเทศ พยายามฟังว่าไปดีลกันเมื่อไหร่ เรื่องอะไร ยังเป็นการพูดลอยๆ คลุมเครือ ยังไม่เห็นชัดว่า ไปดีลกันอย่างไร ส่วนเรื่องพฤติกรรมขาดภาวะผู้นำ รวมถึงการครอบงำ ก็ยังไม่เห็นตัวบ่งชี้พฤติกรรมดังกล่าว เช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร เลยดูเหมือนว่า การอภิปรายครั้งนี้เมื่อเทียบกับการอภิปรายทุกครั้งที่ผ่านมายังไม่มีความหนักแน่นพอ

นายสุทิน กล่าวว่า จะมีเป็นรูปธรรมบ้างคือ นายวิโรจน์ ที่ดูเหมือนเป็นตัวชี้หรือตัวบ่งชี้พฤติกรรมอยู่ แต่มันเป็นรายละเอียดที่ต้องไปศึกษาอีกครั้ง และต้องฟัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯตอบ ซึ่งดูน่าสนใจที่นายวิโรจน์ แต่อาจจะใช้อารมณ์บดบังสาระมากไปหน่อย หากเขาตัดเรื่องอารมณ์ เรื่องวาทะ การเสียดสีออก ตนว่า สาระจะน่าสนใจกว่านี้ ดังนั้น เท่าที่ผ่านมาในช่วงเช้าวันแรก ในฝ่ายรัฐบาลไม่มีอะไรน่าหนักใจ คิดว่า สมมุติของตน ฝ่ายค้านข้อมูลน้อยอาจจะเป็นความจริงอยู่ โดยเฉพาะผู้นำฝ่ายค้านฯอาจจะเบาหวิวกว่าที่คาด เบาไป เบาที่ตนพูดถึงคือ กล่าวลอยๆ ไม่มีตัวบ่งชี้ 

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการพาดพิงคนในตระกูลชินวัตร จะมีการพิจารณาฟ้องกลับหรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า เป็นช่วงที่นายวิโรจน์อภิปราย พูดชัดเจนถึงครอบครัวและเจาะจงให้ร้าย ถ้าไม่ใช่ความจริงเขาก็มีสิทธิ์ฟ้อง ถ้าเขาตอบแล้วและยืนยันว่าไม่ใช่ความจริง เรื่องนี้ก็ถึงขนาดฟ้องร้องกัน เขากล่าวหาชัดเจน หนักหน่วงมาก เมื่อถามว่า หลังจากฝ่ายค้านอภิปราย จะมีการยื่นต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบต่อไป นายสุทิน กล่าวว่า จริงๆ ถ้าทุกคนอภิปรายเรื่องทุจริต และเพื่อแสดงความหนักแน่นควรจะยื่นต่อ ป.ป.ช. ซึ่งต้องดูว่าเขาจะยื่นหรือไม่ เพราะเรื่องภาษีเท่าที่ตนฟัง ยังไม่ได้สรุป เพียงแต่เป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่ต้องฟังนายกฯตอบ

เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร อภิปรายเป็นอย่างไร นายสุทิน กล่าวว่า ท่านพยายามทำให้ดีที่สุดของท่านแล้ว ก็ให้กำลังใจ แต่ถามว่าหนักแน่นหรือเป็นข้อกล่าวหาที่น่าสนใจหรือไม่ ไม่ถึงขั้นนั้น เข้าใจว่าท่านจั่วหัวมากกว่า ต้องรอดูว่าจะมีคนอภิปรายขยายซ้ำหรือไม่ ถ้าอภิปรายเพียงแค่นี้ไม่น่าจะถึงขั้นไม่ไว้วางใจ เมื่อถามอีกว่า คิดเห็นอย่างไร กรณีที่นายกฯตอบ พล.อ.ประวิตร ที่ลุกขึ้นอภิปราย นายสุทิน กล่าวว่า เข้าใจว่าเป็นมุกให้ทุกคนผ่อนคลายมากกว่า ย้อนให้เป็นการผ่อนคลาย ให้ทุกคนสนุก แต่การตอบจริงๆ จังๆ เชื่อว่าจะมีอีกรอบนึง

เมื่อถามถึงกรณี พล.อ.ประวิตรระบุว่า ไม่ใช่สนามเด็กเล่นที่จะมาฝึกหัด นายสุทิน กล่าวว่า เป็นวาทกรรมที่พูดกันมาตลอดว่าเป็นสนามเด็กเล่นบ้าง นายกฯฝึกหัดบ้าง ตนว่า ไม่ใช่เรื่องฝึกหัดหรอก เพราะการมีทีมงานที่ดี พี่เลี้ยงที่ดี อาจจะดีกว่า ดีกว่านายกฯที่อาวุโสแต่ไม่มีทีมงาน อย่างไรก็ตาม เท่าที่ฟังการอภิปรายมายังคาดหวังไม่ได้ ถ้ามีคนมาขยายความให้อาจจะทำให้ข้อกล่าวหามีน้ำหนัก สิ่งหนึ่งที่ฝ่ายค้านต้องพูดให้ชัดคือ ต้องขีดเส้นให้ได้ชัดเจนระหว่างครอบงำกับแนะนำ ถ้าฝ่ายค้านไม่สามารถขีดเส้นแบ่งตรงนี้ได้ให้ชัด การอภิปรายตรงนี้จะไม่มีน้ำหนัก ยิ่งภาวะผู้นำยิ่งพูดยาก เรื่องนี้ถ้ามันเป็นธรรมชาติมันแบ่งยาก ความเป็นพ่อ การเป็นคนในพรรคหรืออดีตผู้นำพรรค ด้วยความเป็นห่วงลูกพรรค อาจจะแนะนำกันบ้าง แบบนี้มันคือธรรมชาติ ถ้าจะบอกว่าครอบงำมันต้องระบุด้วยว่าขั้นไหน มันต้องไปดู ดังนั้น ฝ่ายค้านน่าจะต้องทำงานหนักในประเด็นนี้