เมื่อพี่เบิ้มใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ทำท่าว่าจะโบกมือลา ก็ทำให้บรรดานานาประเทศน้อยใหญ่ทั้งหลายในภูมิภาคยุโรป ต้องขยับปรับทัพกันเอง เพื่อเตรียมรับศึกที่อาจจะเกิดขึ้นจากรัสเซีย โดยมีชะตากรรมอันสุดแสนรันทนจากยูเครนเป็นบทเรียนตัวอย่าง
สำหรับ สถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาคยุโรป ที่ภายหลังจากสหรัฐฯ ยุคสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ครองทำเนียบขาว สวนทางแตกต่างจากสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่เพิ่งพ้นผ่าน
ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดการจัดตั้ง “กองทัพยุโรป” ที่เหล่าบรรดาชาติสมาชิก “สหภาพยุโรป” หรือ “อียู” 27 ประเทศ ที่ต้องจัดทัพ ตั้งกองทหารกันเอง แทนที่กองทัพ กองกำลังผสมขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ออกอาการว่าจะตีรวน เหมือนกับที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่แล้ว
ล่าสุด โปแลนด์ พร้อมด้วยอีก 3 ประเทศริมทะเลบอลติก ได้แก่ ลิทัวเนีย ลัตเวีย และเอสโตเนีย ก็ส่งสัญญาณท่าทีว่า จะถอนตัวจากการเป็นภาคี “อนุสัญญาออตตาวา” ที่ว่าด้วย ห้ามการใช้ “กับดักระเบิดหรือทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” ซึ่งมีทางการของประเทศต่างๆ จรดปากกาลงนามให้สัตยาบันรับรองเป็นชาติภาคีรวมแล้วกว่า 160 ประเทศ นับตั้งแต่อนุสัญญาอุบัติขึ้นเมื่อปี 1997 (พ.ศ. 2540) ยกเว้น สหรัฐฯ จีน อินเดีย รัสเซีย และปากีสถาน ที่ไม่ได้เข้าร่วม
โดยเป็น “เจ้ากระทรวง” ของทาง “กองทัพ” คือ “กระทรวงกลาโหม” ของ 4 ประเทศข้างต้นนั้น เป็นผู้นำเสนอแผนการต่อรัฐบาลของพวกเขา ให้ถอนตัวออกจากภาคีดังกล่าว
พร้อมทั้งอ้างเหตุผลว่า เพื่อให้กองทัพของพวกเขา มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ในการรับมือกับสงครามจากรัสเซีย ที่อาจจะเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัสเซียในยุคที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ครองเมืองเยี่ยงนี้
พูดง่ายๆ ก็คือ อ้างภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากรัสเซีย นั่นเอง
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ทั้ง 4 ประเทศดังกล่าว ได้มีความพยายามเรียกร้องให้รัฐบาลถอนตัวออกจากภาคีอนุสัญญาออตตาวา มาหลายครั้งแล้ว เพราะเมื่อประเมินสถานการณ์ด้านความมั่นคงของประเทศพวกเขาแล้วเห็นว่า มีความเสี่ยงอันตรายที่จะถูกรัสเซียโจมตี แต่เมื่อประเทศยังเป็นสมาชิกภาคีอนุสัญญาออตตาวา ก็ไม่อาจใช้ยุทธวิธีทุ่นระเบิดสังหารบุคคล มาช่วยสกัดกั้นกำลังพลชาติผู้รุกรานได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องถอนตัวจากภาคีข้างต้น เพื่อให้กองทัพมีความยืดหยุ่นในการป้องกันการรุกรานจากกองทัพศัตรูได้มากขึ้น
โดยนายโดวิล ซาคาเลียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของลิทัวเนีย กล่าวว่า การถนตัวออกจากภาคีอนุสัญญาออตตาวดังกล่าวนั้น จะทำให้กองทัพสามารถปกป้องอธิปไตยพรมแดนประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เมื่อกล่าวถึงทั้ง 4 ประเทศแล้ว ทั้งโปแลนด์ ลิทัวเนีย ลัตเวีย และเอสโตเนีย ล้วนมีพรมแดนติดกับรัสเซียกันทั้งสิ้น
แถมมิหนำซ้ำ ที่ 2 ประเทศ คือ โปแลนด์ และลิทัวเนีย ไม่ผิดอะไรกับมีดินแดน “รัสเซีย” เป็น “ไข่แดง” ด้วยอีกต่างหาก โดยมี “คาลินินกราด” เมืองของรัสเซีย อยู่ท่ามกลางของประเทศทั้งสอง
นอกจากเฝ้าระวังรัสเซียแล้ว ทั้ง 4 ประเทศดังกล่าว ก็ยังต้องเฝ้าจับตา “เบลารุส” ประเทศพันธมิตรสำคัญของรัสเซีย ที่มีแนวโน้มสูงว่า จะเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงของพวกเขาได้อีกเช่นกัน
ดังจะเห็นจากกรณีของ “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” ที่ปรากฏว่า “เบลารุส” ได้ทำหน้าที่เป็นเส้นทางลำเลียงกำลังพล หรือการเดินทัพ ของกองทัพรัสเซีย เข้าไปรุกรานยูเครนด้านทิศเหนือ
ใช่แต่เท่านั้น “เบลารุส” ยังเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มนักรบรับจ้าง “วากเนอร์” ของรัสเซีย ซึ่งกลุ่มนักรบรับจ้าง “วากเนอร์” อันน่าสะพรึงเหล่านี้ ก็ถูกวางกำลังบริเวณพรมแดนเบลารุสกับโปแลนด์อีกต่างหากด้วย
ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมของทั้ง 4 ประเทศ คือ โปแลนด์ ลิทัวเนีย ลัตเวีย และเอสโตเนีย ยังได้มีแถลงการณ์ระบุด้วยว่า การคุกคามรัฐสมาชิกของนาโตที่มีพรมแดนติดกับรัสเซียกับเบลารุสนั้น ได้ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ว่ากันถึงการดำรงชาติสมาชิกภาคีอนุสัญญาออตตาวาของทั้ง 4 ประเทศแล้ว ก็ต้องบอกว่า ลิทัวเนีย ลัตเวีย และเอสโตเนีย ตบเท้าเข้าร่วมก่อน แล้วตามมาด้วยโปแลนด์ โดยทางการของ 3 ประเทศริมทะเลบอลติกเหล่านี้ ลงนามเข้าร่วมในระหว่างการประชุมเมื่อปี 2005 (พ.ศ. 2548) ก่อนที่โปแลนด์ จะลงนามเข้าร่วมเมื่อปี 2012 (พ.ศ. 2555) หรือตามหลังกัน 7 ปี
รายงานข่าวเผยว่า หากทางการโปแลนด์ ถอนตัวจากภาคีอนุสัญญาออตตาวาแล้ว ก็มีแผนการที่จะติดตั้ง หรือฝัง “กับดักระเบิด หรือทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ล้านลูก ตามแนวบริเวณพรมแดนที่ติดกับรัสเซียและเบลารุส
โดยตัวเลขของทุ่นระเบิดสังหารบุคคลข้างต้น ก็มาจากการประเมินของฝ่ายความมั่นคงของโปแลนด์ ที่ประมาณการว่า รัสเซียอาจจะยอมสูญเสียกำลังพลจำนวนเรือนล้าน เพื่อให้ได้มาซึ่งดินแดนของโปแลนด์ ซึ่งหากเป็นไปตามการประเมินข้างต้นจริง ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจำนวน 1 ล้านลูก ก็อาจจะไม่เพียงพอต่อการต้านทานการบุกรุกรานจากกองทัพรัสเซียได้ด้วยซ้ำ แต่ต้องใช้จำนวนมากกว่านี้ และยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์อันล้ำสมัยอื่นๆ มาเสริมเป็นเขี้ยวเล็บด้วย
นอกจาก โปแลนด์ ลิทัวเนีย ลัตเวีย และเอสโตเนียแล้ว ก็ยังมี “ฟินแลนด์” ที่สนใจจะถอนตัวจากอนุสัญญาออตตาวาดังกล่าว เพื่อให้กองทัพสามารถวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เพื่อใช้ต้านทานการบุกรุกข้ามพรมแดนเข้ามาด้วย โดยฟินแลนด์ ถือเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีพรมแดนติดกับรัสเซียยาวที่สุด และเสี่ยงภัยคุกคามด้านความมั่นคงของประเทศจากรัสเซียอีกชาติหนึ่ง ถึงขนาดที่ฟินแลนด์ต้องเร่งรีบตบเท้าเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโต เพื่อหวังพึ่งธงของนาโต ที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ ช่วยคุ้มภัยให้
อย่าไรก็ดี ก็มีเสียงติติงว่า แม้จะใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ก็ใช่ว่าจะสกัดการรุกรานประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี “ยูเครน” เป็นบทเรียนตัวอย่าง ซึ่งยูเครน ฝ่าอนุสัญญาออตาวาที่พวกเขาลงนามให้สัตยาบัน แล้วฝังกับดักระเบิดเป็นจำนวนมาก ถึงระดับมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ตามการประเมินของสหประชาชาติ หรือยูเอ็น แต่ก็ไม่สามารถต้านทานการบุกของกองทัพรัสเซียได้ เพราะสงครามยุคใหม่ ใช้การโจมตีแบบระยะไกลด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์อันล้ำสมัย เช่น โดรน และขีปนาวุธพิสัยทำการต่างๆ เป็นต้น