นักวิชาการ ค้านทุกมิติ ชี้หากเปลี่ยน “เอกสารสิทธิ์ที่ดิน ส.ป.ก” เป็น “โฉนดทองคำ” หรือสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ เกิดปรากฏการตะครุบที่ดินจากกลุ่มนายทุนเพื่อเก็งกำไร ย้ำ ส.ป.ก เป็นดอกผลของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และแลกมาด้วยการต่อสู้เรียกร้องขององค์กรภาคประชาชนและขบวนการนิสิตนักศึกษา วันนี้ (13 ม.ค.62) ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นคัดค้านการเปลี่ยน “เอกสารสิทธิ์ที่ดิน สปก” เป็น “โฉนดทองคำ” หรือสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ว่า นโยบายดังกล่าวจะเพิ่มปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรที่ดินรุนแรงยิ่งขึ้น ผิดหลักการของการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร และ สร้างปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจและการเมืองในระยะยาวทั้งมิติความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ มิติทางด้านเสถียรภาพและความสมดุล ที่ดินเป็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด จะปล่อยให้ทุนนิยมเสรี หรือกลไกตลาดจัดสรรทรัพยากรอย่างเสรีโดยไม่บริหารจัดการหรือกำกับดูแลเพื่อประโยชน์ของสาธารณชนโดยรวมไม่ได้ แม้นการให้ “ส.ป.ก” ซึ่งเป็นที่ดินเพื่อการเกษตรสามารถโอนกรรมสิทธิ์หรือซื้อขายได้อาจทำให้มูลค่าที่ดินเพิ่มสูงและราคาอาจเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในบางพื้นที่ถึง 10-15 เท่าโดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ประชาชนและประเทศโดยรวมจะไม่ได้ประโยชน์อะไร นอกจากจะก่อให้เกิดการเก็งกำไรที่ดิน ส.ป.ก ในบางพื้นที่อย่างหนัก เกษตรกรจะสูญเสียสิทธิในการถือครองที่ดิน และความสามารถในเข้าถึงทรัพยากรที่ดิน ทั้งนี้ การเปลี่ยน ส.ป.ก ที่ดินเพื่อการเกษตร เป็นพื้นที่ในการสร้างโรงงาน สร้างโรงแรมรีสอร์ต สร้างบ้านจัดสรร สร้างตึกแถว สร้างศูนย์การค้า หรือเอาไปพัฒนาหากำไรอื่นๆ เหมือนโฉนด อาจทำให้ผู้มีอำนาจรัฐแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่มิชอบจากที่ดิน ส.ป.ก 35 ล้านไร่ จากนโยบายโฉนดทองคำได้ และจะทำให้อำนาจทุนขนาดใหญ่บวกอำนาจรัฐเข้าถือครองที่ดินอย่างไม่จำกัดจะสร้างความไม่เป็นธรรมอย่างใหญ่หลวง ที่ดินจำนวนหนึ่งอาจถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่าเพราะรัฐครอบครองโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือ นายทุนถือครองเพื่อเก็งกำไร ในที่สุด ที่ดิน ส.ป.ก 35 ล้านไร่จะตกอยู่ในมือของกลุ่มทุน ขณะที่เกษตรกรจะไร้ที่ทำกินหรือต้องเช่าที่ดินอันเป็นเหตุให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การพัฒนาการทางเศรษฐกิจและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ต่างๆ หากต้องการเปิดช่องให้มีการเปลี่ยนที่ดิน ส.ป.ก เป็น ที่ดินที่ใช้ในกิจการอื่นนอกเหนือการเกษตรกรรมและต้องเป็นไปเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ ต้องมีคณะกรรมการกำกับดูแลและพิจารณาเป็นรายกรณีไม่ใช่เปิดกว้างโดยทั่วไปตามแบบนโยบายโฉนดทองคำ ปัญหา “การตะครุบที่ดิน” (land grabbing) จะเพิ่มขึ้นจากกลุ่มทุนขนาดใหญ่ในประเทศและต่างชาติโดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งหลาย ระบบข้อมูลการถือครองที่ดินที่ไม่ชัดเจนและแปลงที่ดิน ส.ป.ก ให้ซื้อขายได้เพื่อกิจการอื่นๆ จะทำให้ปัญหาการตะครุบที่ดินรุนแรงมากขึ้นในอนาคต การเพิ่มมูลค่าที่ดิน ส.ป.ก ควรทำให้ เอกสารสิทธิ ส.ป.ก สามารถนำไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันกับธนาคารพาณิชย์โดยทั่วไปได้นอกเหนือจากธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ผศ.ดร.อนุสรณ์ ยังได้เสนอแนะแนวทางในการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรว่า ข้อแรก ต้องรักษาหลักการและเจตนารมณ์ของกฎหมายปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม รวมทั้งสนับสนุนการทำงานของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามมาตรา 81 ของกฎหมาย ส.ป.ก ความว่า "ให้รัฐพึงส่งเสริมให้เกษตรกรมีกรรมสิทธิ์ และสิทธิในที่ดิน เพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างทั่วถึง โดยการปฏิรูปที่ดิน และวิธีการอื่นๆ" ส.ป.ก เป็นดอกผลของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และแลกมาด้วยการต่อสู้เรียกร้องขององค์กรภาคประชาชนและขบวนการนิสิตนักศึกษา รวมทั้ง แลกมาด้วยชีวิตเลือดเนื้อของผู้นำชาวนา ผู้นำสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยถูกลอบสังหารหลายคนในช่วงปี 2518 ในระหว่างการเรียกร้องเพื่อความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและกฎหมาย ส.ป.ก ข้อสอง เสนอให้มีการจัดตั้ง “ธนาคารที่ดิน” เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่กำลังจะสูญเสียที่ดินทำกิน หรืออยู่ระหว่างการถูกฟ้องร้องที่จะยึดทรัพย์ หรือ จัดสรรเงินทุนซื้อที่ดินมาแจกจ่ายให้กับเกษตรกรรายย่อยที่ไม่มีที่ดินทำกิน ข้อสาม กำหนดการคุ้มครองที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กำหนดเขตการใช้ที่ดินและแผนการใช้ที่ดินเพื่อให้เกิดความสมดุล ข้อสี่ ศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการกำหนดเพดานการถือครองที่ดินที่เหมาะสมโดยไม่กระทบต่อการทำเกษตรกรรมเชิงพาณิชย์ในพื้นที่ขนาดใหญ่หรือเกษตรพันธะสัญญา และข้อห้า การปฏิรูประบบข้อมูลที่ดินทั้งหมดรวมทั้งที่ดินเพื่อการเกษตร “ปัญหาความเหลื่อมล้ำของการถือครองทรัพย์สินและความมั่งคั่งยังคงรุนแรงขึ้นในไทย ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นมีมากโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างผู้ประกอบการและเจ้าของทุน กับ แรงงานรับจ้างทั่วไปและเกษตรกรรายย่อยปราศจากที่ดินทำกิน มหาเศรษฐี 100 อันดับแรกของไทยมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยของประเทศทรัพย์สินและความมั่งคั่งไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยและหนี้สินต่อครัวเรือนกลับเพิ่มขึ้นอีกด้วยในภาวะทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เกษตรกรจำนวนไม่น้อยสูญเสียที่ดินหลักประกันเนื่องจากไม่สามารถชำระหนี้ได้ สภาวะความเหลื่อมล้ำอย่างมากในการถือครองที่ดินได้ทำลายศักยภาพของภาคเกษตรกรรมของไทย คนไทยส่วนใหญ่ขาดโอกาส ขาดสิทธิ ขาดรายได้และไร้ซึ่งทรัพย์สินและการเข้าถึงปัจจัยการผลิตโดยเฉพาะที่ดิน ทำให้ระบอบประชาธิปไตยอ่อนแอลง การแทรกแซงโดยรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาการกระจุกตัวของการถือครองที่ดินภายใต้เจตจำนงสาธารณะเพื่อทำให้เกิดความเป็นธรรมและประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจมีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศและเสถียรภาพของสังคมไทย”ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าว