คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ระยะเวลาเพียงแค่ห้าสิบวันเท่านั้น นับตั้งแต่ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาวในวาระที่2 เขาสามารถจะผนึกรวบรวมสมาชิกพรรครีพับลิกันให้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จ แม้กระทั่ง “ประธานสภาฯ ไมค์ จอห์นสัน” ก็ยังต้องยอมปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อแม้ ส่วนสมาชิกพรรคเดโมแครตก็ไม่สามารถที่จะรวมตัวช่วยกันต่อต้านเขาได้มากเท่าที่ควร
นโยบายหลักๆของเขาไม่ว่าจะเป็น เรื่องอิมมิเกรชัน เรื่องนโยบายเศรษฐกิจ นโยบายต่างประเทศ ปัญหาเงินเฟ้อ เรื่องราวของสงครามยูเครน ที่ถึงแม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะมิได้ประสบความสำเร็จแบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่เขาก็สามารถนำเอามาอวดอ้างได้อย่างไม่น่าเกลียด!!!
ส่วนกรณีที่เกี่ยวกับอิมมิเกรชันนั้น ปรากฏให้เห็นว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้เริ่มดำเนินการแก้ไขปัญหานับตั้งแต่วันแรก เหมือนดั่งที่เขาเคยให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ อาทิเช่น ปัญหาที่เกิดขึ้นตามพรมแดนระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐอเมริกาที่ชาวต่างชาติใช้เดินทางทะลักไหลเข้าไปในสหรัฐฯวันละหลายๆพันคน แต่ขณะนี้ลดลงไปถึง 93% และในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาปรากฏให้เห็นว่า ตามชายแดนระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐฯ ที่มีชาวต่างชาติพยายามที่จะลักลอบเข้าสู่สหรัฐฯถูกจับกุมได้เพียง 8,500 คนเท่านั้น นับว่ามีจำนวนน้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 เรื่อยมา
ในภาพรวมจากโพลของสำนักหยั่งเสียงสิบแห่งปรากฏออกมาว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับคะแนนในการแก้ปัญหาด้านอิมมิเกรชันสูงสุดอยู่ที่ 48%
สำหรับด้านการแก้ไขด้านปัญหาเศรษฐกิจ ก็ปรากฏออกมาว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับคะแนนนิยมเพียง 37% และมีผู้ที่ไม่พึงพอใจอยู่ที่ 48% โดยผลการหยั่งเสียงของ “สำนักข่าวรอยเตอร์ส” เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2025 เปิดเผยออกมาว่า ชาวอเมริกันถึง 57% มองว่านโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ไม่มีความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอเมริกันแสดงความไม่เห็นด้วยที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะกำหนดให้ขึ้นภาษีขาเขาจากแคนาดา และเม็กซิโกสูงถึง 25% ที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 2 เมษายนนี้ ซึ่งที่ผ่านๆมาทั้งสองประเทศต่างก็เป็นพันธมิตรเก่าแก่ทางการค้าของสหรัฐฯมาอย่างยาวนาน
โดยเมื่อวันอังคารที่ 18 มีนาคม 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ ออกคำสั่งให้มีการประกาศขึ้นภาษีสินค้าประเภทโลหะที่นำเข้ามาจากแคนาดาให้มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ร่วงดิ่งลง แต่ต่อมากลับปรากฏว่าประธานาธิบดีทรัมป์ออกมากล่าวถอนคำขู่นี้ออกไป!!!
ส่วนปัญหาเรื่องค่าครองชีพของคนอเมริกัน ซึ่งนับเป็นประเด็นใหญ่อีกประเด็นหนึ่ง โดยขณะนี้ปรากฏว่าชาวอเมริกันมีความพึงพอใจในการจัดการบริหารเศรษฐกิจของประเทศภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์แค่เพียง 32% แถมชาวอเมริกันส่วนใหญ่ถึง 70% ที่มาจากฐานสียงผู้นิยมชมชอบพรรครีพับลิกัน และฐานเสียงผู้ที่นิยมค่ายพรรคเดโมแครตต่างก็ออกมาแสดงความกังวลว่า “จากการขึ้นภาษีที่สูงขึ้นจะมีผลทำให้ค่าอาหาร และ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วๆไปจะมีราคาแพงมากขึ้น”
ทั้งนี้ชาวอเมริกันถึง 60% ให้ความสำคัญเรื่องเงินเฟ้อ โดยชาวอเมริกันส่วนใหญ่ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ต้องการจะให้ประธานาธิบดีทรัมป์เล็งเห็นถึงความสำคัญในประเด็นนี้ให้มากยิ่งๆขึ้น
นอกจากนั้นแล้วการที่ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสกอต เบสเซนต์” มักจะออกมาให้สัมภาษณ์บ่อยๆครั้งว่า “ข้าพเจ้าไม่สามารถเอ่ยปากให้คำมั่นสัญญาได้ว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯจะมีการชะลอตัวลงหรือไม่?”
สำหรับประเด็นของ “อภิมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์”ขุนพลคู่ใจคนสนิทคนโปรดคนใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่เขาผู้นี้ได้กลายเป็นประเด็นร้อนประจำวัน่ในทำนองที่ว่า เขาจะเข้ามาช่วยประธานาธิบดีทรัมป์หรือจะเข้ามาเป็นตัวสร้างปัญหาให้เกิดข่าวเกรียวกราวเกี่ยวกับการปลดพนักงานของรัฐบาลออกกันแน่!!!
และเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2025 “ผู้พิพากษาวิลเลียม อัลซุป” ที่ได้รับการแต่งตั้งโดย “ประธานาธิบดีบิล คลินตัน”เมื่อปีค.ศ. 1999 ได้ออกมาสั่งการให้พนักงานของภาครัฐหลายพันคนในหกหน่วยงานที่ถูกอีลอน มัสก์ ปลดออกไปทั้งจาก กระทรวงการคลัง, หน่วยงานทหารผ่านศึก, กระทรวงเกษตร, กระทรวงกลาโหม ,กระทรวงพลังงาน, และกระทรวงมหาดไทย ให้กลับเข้าไปทำงานได้ทันที ทั้งนี้ผู้พิพากษาท่านนี้ให้เหตุผลว่า “รัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ละเมิดต่อข้อกฎหมาย”
ทั้งนี้โจทก์ในคดีนี้ประกอบไปด้วย 12 สหพันธ์ต่างๆและยังมีอัยการสูงสุดของรัฐวอชิงตันเข้าไปร่วมผนึกกับสหพันธ์พนักงานของรัฐบาลอเมริกันที่มีสมาชิกมากถึง 800,000 คน
การตัดสินคดีเช่นนี้ มีผลทำให้เครดิตของอีลอน มัสก์ ตกต่ำลง โดย “วุฒิสมาชิกจอห์น เคอร์ติส”จากรัฐยูทาห์ ที่ได้รับเลือกเข้าไปรับตำแหน่งแทน “วุฒิสมาชิกมิตต์ รอมนีย์” ที่เกษียณตัวออกไปได้ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้ทำนองที่ว่า “อีลอน มัสก์ มิได้แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อพนักงานที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลและครอบครัวของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย”
แม้กระทั่ง “รองประธานาธิบดีเจดี แวนส์”ก็ยังออกมาตำหนิว่า “อีลอน มัสก์ทำผิดพลาดไปแล้วหลายๆเรื่อง ที่ข้าพเจ้าจะต้องหาทางแก้ไข”
ส่วนเรื่องของ“Voice Of America” หรือที่เรียกย่อๆว่า “วีโอเอ” (VOA) ซึ่งเป็นองค์กรข่าวที่ถือเป็นประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนานและยังถือกระบอกเสียง หรือถือเป็นจุดขายทางด้านระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐฯที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1942 แต่ขณะนี้ได้ถูกอีลอน มัสก์ สั่งปิดลงไปเมื่อวันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2025 นับว่าเป็นจุดบอดของทั้งประธานาธิบดีทรัมป์และอีลอน มัสก์โดยตรง โดยไม่แน่ว่าตั้งแต่นี้ต่อไปสหรัฐฯจะเอาอะไรเป็นจุดขายเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยที่ถือเป็นแม่แบบมาอย่างยาวนาน!!!
สำหรับ “องค์การความช่วยเหลือระหว่างประเทศ” หรือที่เรียกกันว่า “USAID” ที่ก่อตั้งโดย “ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี” เมื่อ 63 ปีก่อนหน้านี้ เพื่อต้องการที่จะใช้เป็นโครงการด้านมนุษยชน หรือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ ที่ใช้งบประมาณราว 40 พันล้านดอลลาร์ และมีหน่วยงานกระจายเผยแพร่ไปทั่วโลกมากถึง 140 ประเทศ ก็ต้องถูกปิดลงไปโดยอีลอน มัสก์ อีกด้วยเช่นกัน นับได้ว่าเขาผู้นี้เป็นบุคคลที่มีวิสัยทัศน์แสนจะคับแคบ ซึ่งจะมีผลทำให้อิทธิพลของสหรัฐฯที่เคยมีต่อประเทศต่างๆทั่วโลกต้องลดน้อยถอยลงไปอย่างมาก
มองๆไปแล้วในหัวของเขาคงจะดีดลูกคิดมุ่งเอาแต่เฉพาะเรื่องกำไรและขาดทุนเพียงอย่างเดียว โดยเขาหาทราบไม่ว่า องค์กรเหล่านี้ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อสหรัฐฯมากมายมหาศาล!!!
และจากผลการหยั่งเสียงของ “นิตยสาร Forbes” เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2025 ที่เพิ่งผ่านมา เปิดเผยออกมาว่า มีชาวอเมริกันที่ไม่นิยมชมชอบต่ออีลอน มัสก์มากถึง 53% แต่ก็ยังมีผู้ที่พึงพอใจอยู่ 35%
ส่วนสงครามยูเครนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยกล่าวโอ้อวดเอาไว้ระหว่างการเดินสายหาเสียงว่า “หากข้าพเจ้าได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่สองได้อีกครั้งคราหนึ่ง ข้าพเจ้าสามารถที่จะยุติสงครามยูเครนได้ภายใน 24 ชั่วโมง” แต่ขณะนี้ดูเหมือนว่าเวลาจะผ่านไปกว่า 50 วันแล้วแต่ก็ยังไม่มีสัญญาณบ่งบอกให้เห็นเลยว่าสงครามยูเครนที่ยืดเยื้อมาถึงขณะนี้จะยุติลงได้อย่างไร?
มีผลทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับคะแนนนิยมด้านการแก้ไขปัญหาสงครามยูเครนแค่เพียง 41% และการที่เขาแสดงอาการโกรธเคืองก้าวร้าวถึงขนาดแสดงกิริยาขู่ตะคอกใส่ “ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี” ที่ทำเนียบขาว เมื่อวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2025 ปรากฏว่าไม่ได้เป็นที่พึงพอใจของชาวอเมริกัน แต่อย่างใด แต่กลับทำให้คะแนนนิยมของประชาชนในประเทศยูเครนของประธานาธิบดีเซเลนสกีพุ่งสูงขึ้นถึง 68%
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเมื่อมองจากภาพรวมแล้วจากคะแนนเฉลี่ยในผลงานของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”ช่วง 50 วันแรกของการทำงานในสมัยที่ 2 ปรากฏให้เห็นว่า เขาได้รับคะแนนอยู่ที่ 47% ส่วนด้านการบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจมีชาวอเมริกันมอบความไว้วางใจต่อเขาแค่เพียง32% และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสกอต เบสเซนต์” ออกมาส่งสัญญาณในทำนองที่ว่า “เศรษฐกิจของสหรัฐฯอาจจะเกิดการชะลอตัว” แถมการที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังจุดชนวนให้เกิดสงครามเศรษฐกิจด้วยการประกาศเพิ่มภาษีขาเข้าสินค้าจากแคนาดา และจากเม็กซิโก ที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 2 เมษายน 2025นี้ ซึ่งทั้งสองประเทศก็คงจะโต้กลับในทำนองเดียวกัน ต่อท้ายด้วยเรื่องของหนี้สาธารณะที่มียอดเกือบทะลุเพดานมากถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์ ดูๆไปแล้วสหรัฐฯอาจจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นมาให้เห็นอีกครั้งก็เป็นไปได้ละครับ