กตป. ด้านกระจายเสียง ชี้เป้า เป็นหน้าที่นายกรัฐมนตรีต้องจัดการกรณีประธานกสทช. ขาดคุณสมบัติหรือมีคุณสมบัติต้องห้าม อีกทั้งยังละเลยปล่อยให้ขาดเลขาธิการตัวจริงนานกว่า 5 ปี
วันที่ 20 มี.ค.2568 ที่โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ มีรายงานว่า มีการจัดประชุมเพื่อรายงานผลการดำเนินงานและเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะ ประจำปี 2567 โดย กตป. หรือ คณะกรรมการการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานและการบริหารงานของ กสทช. สำนักงาน กสทช และเลขาธิการกสทช. ระหว่างการนำเสนอรายงานดังกล่าว กตป. ด้านกิจการกระจายเสียง รองศาสตราจารย์ คลีนิค พลเอก นายแพทย์ สายันห์ สวัสดิ์ศรี ได้กล่าวถึงปัญหาสำคัญที่เป็นอุปสรรคของการดำเนินงานในสำนักงาน กสทช. ว่าเป็นผลส่วนหนึ่งมาจากการแทรกแซงโดยประธานกสทช.ที่ได้สั่งการ กสทช.ไม่ให้เจ้าหน้าที่ทำงานโดยตรงกับทางกรรมการยกเว้นจะได้รับอนุมัติจากประธาน กสทช. ผ่านเลขาธิการ กสทช.เสียก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น กตป. ด้านกระจายเสียงยังชี้ให้เห็นปัญหาสำคัญทางนโยบาย และ ธรรมาภิบาลใน กสทช. คือ การที่ประธานกสทช. คือ ศาสตราจารย์คลีนิค นายแพทย์ สรณ บุญใบชัยพฤกษฺ์ ขาดคุณสมบัติหรือมีคุณสมบัติต้องห้าม ซึ่งตามรายงานจากคณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของวุฒิสภาได้สรุปชัดเจนแล้ว จึงได้ฝากให้สมาชิกวุฒิสภา นาวาตรี ดร. วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ ซึ่งมาอยู่ในที่ประชุมรับไปดำเนินการให้เกิดผลในวุฒิสภาด้วย
ท้ายสุด รองศาสตราจารย์ คลีนิค พลเอก นายแพทย์ สายันห์ ได้ชี้ให้เห็นด้วยว่า ในเรื่องดังกล่าว นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ หรือ พรบ.กสทช. เป็นผู้ที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย หากประธาน กสทช.ขาดคุณสมบัติหรือมีคุณสมบัติต้องห้าม และยังมีประเด็นเรื่องของการปล่อยปละละเว้นให้สำนักงาน กสทช.ไม่มีเลขาธิการตัวจริงมานานกว่า 5 ปี อีกด้วย
ทั้งนี้จากบันทึกการประชุม คณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม ครั้งที่ 17/2567 โดยในเนื้อหาบันทึกสรุปได้ว่า ศ.คลินิก นพ. สรณ มีลักษณะต้องห้ามจริง ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 7 ข. (12) มาตรา 8 และมาตรา 26 ประกอบกับมาตรา 18 มาตรา 20
เมื่อคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และโทรคมนาคม วุฒิสภา วุฒิสภา วินิจฉัยเป็นที่สิ้นสุดในวันที่ 28 พ.ค.2567 จึงมีมติที่ประชุมเห็นชอบ และให้นำเรียนประธานวุฒิสภา พิจารณาตามหน้าที่ และอำนาจตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ในส่วนนี้ผลการขาดคุณสมบัติและกระบวนการจึงสมบูรณ์แล้ว ตั้งแต่ที่ประธานวุฒิสภารับทราบ จึงมีการประกาศผลทางเว็บไซต์วุฒิสภาดังที่ปรากฏ รวมไปถึงกระบวนการตรวจสอบด้วย โดยนายกรัฐมนตรีต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
"นายกรัฐมนตรีได้เคยหารือคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยมีหนังสือตอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร 0909/117 ลงวันที่ 16 ก.ย.2567 โดยชี้ให้เห็นถึงการมีอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา และการพ้นจากตำแหน่งทันที หากปรากฏว่า มีกรณีตามข้อร้องเรียนดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ซึ่งสอดคล้องกับหนังสือประธานวุฒิสภาเห็นชอบ ให้กรรมาธิการการเทคโนโลยีฯ ให้รีบดำเนินการโดยเร่งด่วน เพื่อมิให้มีปัญหาข้อกฎหมายอื่นที่อาจเกิดขึ้น แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฎว่าประธาน กสทช. กลับยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่โดยมิได้เกรงกลัวต่อกฎหมายแต่อย่างใด"
หนังสือเปิดเผยรายงานการประชุมวิสามัญคณะกรรมาธิการวุฒิสภา ในวันที่ 5 ก.ค.2567 ที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภา มีมติรับทราบรายงานดังกล่าวแล้ว จึงเป็นการรายงานให้วุฒิสภาทราบ ตามข้อ 77 ส่งผลให้ผลการวินิจฉัยข้อเท็จจริง กระบวนการ และรายงานสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มิได้มีการโต้แย้งข้อเท็จจริงหรือกระบวนการใดในเรื่องดังกล่าวตลอดจนไม่เคยมีการบิดเบือนผลการสอบสวน
ดังนั้นทางสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ย่อมสามารถพิจารณาดำเนินการในเรื่องดังกล่าวตามหน้าที่ และอำนาจได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องรอการดำเนินการของวุฒิสภาหรือสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาแต่อย่างใด เท่ากับว่า ผลการวินิจฉัยของคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีฯ สมบูรณ์และมีผลทางกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค.2567 เป็นต้นมาส่งผลให้ประธาน กสทช. ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยทันที
หาก นายกฯ ยังปล่อยเรื่องดังกล่าวค้างไว้ อาจเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายมาตรา 157 โดยตรง นายกรัฐมนตรีจึงควรเร่งดำเนินการ ส่งผลการตรวจสอบของวุฒิสภา ไปยังสำนักงานองคมนตรีเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยข้อเท็จจริงประเด็นดังกล่าวต่อไป แต่ปัจจุบัน นายกรัฐมนตรียังไม่ดำเนินการใด ๆ โดยปล่อยให้มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบมากว่า 8 เดือน เรื่องนี้ ถ้ามีการร้อง ป.ป.ช. นายกรัฐมนตรีอาจหลุดจากตำแหน่งได้เลย