จากกรณี คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติเห็นชอบให้รับคดีความผิดอาญาฐานฟอกเงิน ในคดีฮั้ว สว.67 ไว้เป็นคดีพิเศษ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
เมื่อวันที่ 20 มี.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ข้อบังคับของ กคพ.ว่าด้วยแนวทางการสอบสวนบุคคลที่เป็นพยานสำคัญในคดีพิเศษ พ.ศ. 2568 มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการกันบุคคลที่รู้เห็นการกระทำผิดในคดีพิเศษเป็นพยาน โดยหลักการสำคัญ ได้แก่
1. กรณีที่ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดในคดีที่จะสามารถยืนยันการกระทำความผิดของตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนที่สำคัญ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษอาจสั่งให้สอบสวนบุคคลใดเป็นพยานสำคัญในคดีพิเศษได้ โดย “พยานสำคัญ” นั้น จะต้องเป็นบุคคลซึ่งมิได้ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำความผิด และ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้สอบสวนเป็นพยานในคดีพิเศษ โดยต้องให้ถ้อยคำ หรือแจ้งเบาะแส หรือข้อมูลอันเป็นสาระสำคัญที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดรายอื่นที่เป็นตัวการหลัก (พยานสำคัญต้องไม่ใช่ตัวการหลัก)
บุคคลที่เป็นพยานสำคัญจะต้องรู้เห็นเหตุการณ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษ และมิได้เป็นตัวการสำคัญ ต้องได้ให้ถ้อยคำอันเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนคดีพิเศษ หรือให้ข้อมูลอันเป็นสาระสำคัญจนสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดรายอื่น โดยต้องเต็มใจให้ถ้อยคำ และรับรองว่าจะไปเบิกความเป็นพยานในชั้นศาลตามที่ให้การไว้
ทั้งนี้ ต้องกระทำก่อนพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบจะมีความเห็นทางคดี
2. ต้องไม่ได้เกิดจากการขู่เข็ญ หลอกลวงต้องมิได้เกิดจากการขู่เข็ญ หลอกลวง หรือการกระทำโดยมิชอบด้วยประการอื่นใด เพื่อชักจูงหรือจูงใจให้บุคคลดังกล่าวให้ถ้อยคำ
3. การดำเนินการ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะต้องประชุมเพื่อมีมติด้วยมติเสียงข้างมาก ว่าเห็นสมควรเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อพิจารณามีคำสั่งให้สอบสวนบุคคคลดังกล่าวเป็นพยานสำคัญในคดีพิเศษ โดยต้องคำนึงความเหมาะสมและความจำเป็นแห่งรูปคดี พฤติการณ์ความหนักเบาแห่งการมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด โดยมีหลักการ ดังนี้
หลักการที่ 1 เสนอสอบสวนเป็นพยานสำคัญมากกว่า 1 คนได้
หลักการที่ 2 หากมีพนักงานอัยการสอบสวนร่วม ต้องได้รับความเห็นชอบของพนักงานอัยการนั้นด้วย
หลักการที่ 3 ต้องเสนอขอความเห็นชอบ โดยอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษต้องพิจารณาถึงเหตุ (1) หากไม่สอบสวนบุคคลนั้นไว้เป็นพยานสำคัญแล้ว พยานหลักฐานที่มีอยู่อาจไม่เพียงพอ และไม่อาจรวบรวมพยานหลักฐานอื่นแทนเพื่อให้เพียงพอแก่การที่จะดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดรายอื่นที่เป็นตัวการสำคัญ และ (2) บุคคลนั้นจะต้องสัญญาว่าจะไปเบิกความตามที่ได้ให้การไว้
คำสั่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษให้สอบสวนเป็นพยาน เป็นที่สุด หากอธิบดี ไม่เห็นชอบ ก็ต้องดำเนินคดีกับบุคคลนั้นต่อไป
หลักการที่ 4 หลักการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ – ต้องระบุเหตุผลและความจำเป็นไว้ในท้ายรายงานการสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้พนักงานอัยการหรืออัยการทหารพิจารณาตามอำนาจหน้าที่ หากพนักงานอัยการมีคำสั่งหรือข้อแนะนำให้ดำเนินการอย่างไร ให้ดำเนินการตามนั้น
หลักการที่ 5 หากบุคคลนั้น ไม่ไปเบิกความ หรือไปเบิกความแต่ไม่เป็นไปตามที่ให้การหรือให้ถ้อยคำไว้ หรือไปเบิกความเป็นพยานแต่ไม่เป็นประโยชน์ในการพิจารณาหรือเป็นปฏิปักษ์ ให้หัวหน้าหน่วยงานหรือหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษแล้วแต่กรณี พิจารณาดำเนินการกับบุคคลนั้นในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป