ไม่ผิดอะไรกับการส่งสารแจ้งเตือนจากทางการสหรัฐอเมริกา ที่ต้องบอกว่า เตือนหนัก เตือนแรง และเหี้ยมโหดไม่บันเบา
สำหรับ ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ หรือยุทธเวหา ของกองทัพสหรัฐฯ ที่ถล่ม “กลุ่มกบฏฮูตี” ในเยเมน อันเป็นกลุ่มกบฏอิสลามหัวรุนแรงนิกายชีอะห์ที่อิหร่านให้การสนับสนุน เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาในระลอกแรก และตามมาด้วยระลอกที่ 2 เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ เบ็ดเสร็จรวมแล้วก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 84 รายเป็นอย่างน้อย
โดยในปฏิบัติการโจมตีทางอากาศระลอกแรก เป้าหมายก็เป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของกลุ่มกบฏฮูตีในเมืองต่างๆ ของเยเมน เช่น ซาดาห์ รวมถึงในกรุงซานา เมืองหลวงของประเทศ ที่ ณ วันนี้ กลุ่มกบฏฮูตีกลายเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลกลาง ซึ่งผลปฏิบัติการโจมตีทางอากาศระลอกแรก ก็คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 31 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก สิ่งปลูกสร้างต่างๆ เสียหายพังยับ
ตามมาด้วยปฏิบัติการโจมตีทางอากาศระลอกที่สอง ที่กองทัพสหรัฐฯ มีเป้าหมายถล่มกลุ่มกบฏฮูตีในพื้นที่หลายเมืองของเยเมนอีกเช่นกัน อาทิ เมืองอัลจาอุฟ เมืองฮูเดย์ดาห์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอีกอย่างน้อย 53 ราย และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ นับได้ว่า ปฏิบัติโจมตีทางอากาศดังกล่าว เป็นปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดเป็นครั้งแรก จากการสั่งการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ นับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาดำรงตำแหน่งในทำเนียบขาว
ภายหลังจากปฏิบัติการโจมตีข้างต้น ทางการสหรัฐฯ โดย “นายสตีฟ วิตคอฟฟ์” ในฐานะ “ทูตพิเศษของสหรัฐฯ ด้านภูมิภาคตะวันออกกลาง ระบุว่า ยุทธเวหาละเลงเลือดดังกล่าว นอกจากเพื่อตอบโต้ต่อกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนที่ลอบโจมตีเรือสินค้าของชาติตะวันตกในทะเลแดงหลายครั้งหลายคราในช่วงที่ผ่านมาแล้ว ก็ยังเป็นการส่งสารจากทางการสหรัฐฯ แจ้งเตือนไปยัง “กลุ่มฮามาส” ของชาวปาเลสไตน์ ในฉนวนกาซา อีกประการหนึ่งด้วย
โดยเป็นการแจ้งเตือนให้กลุ่มฮามาส เร่งเจรจาเพื่อขยายเวลาข้อตกลงหยุดยิงกับอิสราเอลต่อไปและต้องให้บรรลุผลด้วย ซึ่งในการเจรจาเพื่อขยายเวลาข้อตกลงหยุดยิงข้างต้น ก็มีขึ้นที่กรุงโดฮา เมืองหลวงของกาตาร์ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยนอกจากตัวแทนของทางการอิสราเอลและตัวแทนของกลุ่มฮามาส ตลอดจนตัวแทนของทางการกาตาร์ ที่เปรียบเสมือนตัวกลางการเจรจาแล้ว ก็ยังมีนายวิตคอฟฟ์ ทูตพิเศษด้านภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ แต่งตั้งขึ้นมา เดินทางเข้าร่วมเจรจา
ทว่า ในระหว่างการเจรจาเพื่อขยายเวลาข้อตกลงหยุดยิงนั้น ก็ได้มีเหตุการณ์แทรกซ้อนอุบัติขึ้นจากฝ่ายต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นการพยายามกดดันของทางการอิสราเอลที่มีต่อกลุ่มฮามาส เพื่อให้เร่งบรรลุข้อตกลงหยุดยิง พร้อมกับปล่อยตัวประกันเพิ่มขึ้น จนได้ดำเนินการปิดล้อมฉนวนกาซา กระทั่งทำให้การช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรมจากองค์การต่างๆ ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ที่กำลังเดือดร้อนอย่างหนักแสนสาหัสได้
ก็ส่งผลให้ทางกลุ่มกบฏฮูตี ซึ่งประกาศยืนเคียงข้างกลุ่มฮามาส ในการสู้รบกับอิสราเอล ได้ตอบโต้ต่อการปิดล้อมฉนวนกาซาของอิสราเอล ด้วยการโจมตีเรือสินค้า หรือแม้กระทั่งเรือรบของเหล่าชาติตะวันตก ที่แล่นผ่านทะเลแดง จะเข้าไปจอดเทียบท่าที่อิสราเอล
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ได้ลอบโจมตีเรือสินค้า และเรือรบของเหล่าชาติตะวันตกอยู่เป็นระยะๆ ส่งผลกระทบต่อกิจการเดินเรือ และเศรษฐกิจมิใช่น้อย ก่อนถูกทางการสหรัฐฯ ตอบโต้อย่างหนักครั้งล่าสุด เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว และต้นสัปดาห์นี้ จนทำให้เกิดความสูญเสียในเยเมนดังที่กล่าวแล้วข้างต้น
ขณะที่ การเจรจาเพื่อขยายเวลาหยุดยิงที่กรุงโดฮา เมืองหลวงกาตาร์ ปรากฏว่า ไม่มีความคืบหน้า
ตามการเปิดเผยของนายสตีฟ วิตคอฟฟ์ ทูตพิเศษของสหรัฐฯ ด้านภูมิภาคตะวันออกกลาง ระบุว่า เพราะข้อเสนอของกลุ่มฮามาสนั้นดูเหมือนว่า ไม่อยากจะการขยายเวลาข้อตกลงหยุดยิงกับอิสราเอลบรรลุผลสำเร็จ โดยมีข้อเสนอหลายประการที่ทำให้การเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ
อาทิเช่น ข้อเสนอของกลุ่มฮามาสที่ต้องการให้ทางการอิสราเอล ปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์เพิ่มจำนวนขึ้น เพื่อแลกกับตัวประกันจำนวนหนึ่ง ที่กลุ่มฮามาสจับตัวมาตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2023 (พ.ศ. 2566) ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีตัวประกันชาวอิสราเอลเชื้อสายอเมริกันรวมอยู่ด้วย
นอกจากนี้ ข้อเสนอของกลุ่มฮามาส ก็ยังต้องการให้อิสราเอล ถอนกำลังทหารออกจากพรมแดนระหว่างฉนวนกาซา-อียิปต์ รวมถึงให้อิสราเอลยกเลิกปิดล้อมการช่วยเหลือต่างๆ ที่จะเข้าไปในฉนวนกาซา
ก็ส่งผลให้ทางการอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู สั่งการให้กองกำลังป้องกันอิสราเอล หรือไอดีเอฟ ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเข้าใส่เป้าหมายกลุ่มฮามาสในหลายพื้นที่ของฉนวนกาซา เมื่อสัปดาห์นี้หลายระลอก ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 400 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ 570 ราย
โดยปฏิบัติการโจมตีทางอากาศอย่างชนิดเลือดท่วมกาซาครั้งนี้ ก็ถือเป็นปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดของอิสราเอล นับตั้งแต่วันที่ 19 มกราคมเป็นต้นมา
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู แห่งอิสราเอล ยังกล่าวสำทับด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวด้วยว่า อิสราเอลจะฟื้นปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซาอย่างเต็มกำลังอีกครั้งหนึ่ง เพื่อกวาดล้างกลุ่มฮามาส ซึ่งปฏิบัติการโจมตีทางอากาศข้างต้น ถือเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
จากเหตุการโจมตีที่ผ่านมาแล้ว และการสู้รบทางการทหารตามคำขู่ของนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูที่จะเกิดขึ้นครั้งใหม่นั้น ก็ถือได้ว่า ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสได้ภินท์พังทลายลงไปแล้ว
เมื่อข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ถึงกาลอวสานลง ก็ส่งผลให้ผู้ที่ต้องผจญชะตากรรมอย่างเลวร้ายเหลือคณา ก็ไม่พ้นผู้คนในฉนวนกาซา ที่หวนมาเผชิญกับภัยสงครามการสู้รบครั้งใหญ่อีกคำรบ