“วันนอร์” ดักคอ “ฝ่ายค้าน” ซักฟอกตามกรอบข้อบังคับ หลังจ่อพุ่งเป้าพาดพิง “ยิ่งลักษณ์” ยันไม่หวั่นลากยาวถึงตี 5 ด้าน “ปชป.” เตือนฝ่ายค้านอย่าเอาข้อมูลเท็จอภิปรายซ้ำซากทำปชช.เบื่อ บอกต้องแยกบทบาท “นายกฯ-ทักษิณ” ให้ออก ส่วน “ปธ.กกต.” เผยมี 27 คำร้องเข้าข่าย “ฮั้วเลือก สว.” ยัน “ดีเอสไอ” ตั้งสอบฟอกเงิน สว.ไม่กระทบไทม์ไลน์การทำงาน
เมื่อวันที่ 20 มี.ค.68 เวลา 09.50 น.ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ฝ่ายค้านยอมรับว่าจะพาดพิงถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สามารถทำได้หรือไม่ ว่า ต้องดูว่าพาดพิงอย่างไร และกติกาว่าอย่างไร ซึ่งต้องดูไปตามกติกาหรือข้อบังคับของการประชุมสภาฯ คงไม่มีอะไร เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจมีมาตลอด ขอให้ทุกคนคำนึงถึงความเรียบร้อย ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเรื่องธรรมดา จะหาความเรียบร้อย 100 เปอร์เซนต์ก็คงจะยาก และการพาดพิงต้องดูว่าสร้างความเสียหายอย่างไร
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่หากการพูดถึงคนนอกแล้วจะทำให้เกิดความวุ่นวายได้ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจตลอดมา ก็ต้องมีการพาดพิงถึงบ้าง แต่ก็ต้องดูประธานในที่ประชุม จะดูตามข้อบังคับว่าไปได้อย่างไรขนาดไหน เพื่อให้การประชุมดำเนินการไปด้วยความเรียบร้อย และต้องคำนึงว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เราเปิดการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ ประชาชนและสื่อมวลชนก็มีการติดตาม ฉะนั้น ตนคิดว่าผู้อภิปรายต้องคำนึงถึงความเหมาะสม
เมื่อถามว่า หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องก็โยงถึงกันได้ ถ้าไม่มีความเสียหายใช่หรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ยังไม่สามารถจะพูดได้ เพราะต้องดู ในวันที่มีผู้อภิปราย แต่ตนเชื่อว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพราะทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต้องช่วยกันดูว่าจะทำให้เกิดความเรียบร้อย และให้ประชาชนชื่นชมได้สาระในการประชุม ซึ่งเขาจะได้ชี้ว่ารัฐบาลมีข้อบกพร่องอย่างไร และรัฐบาลจะได้ถือโอกาสนี้ได้มีการชี้แจงว่าที่ทำมามีอะไรบ้างที่ต้องปรับปรุงแก้ไข หรือมีแผนงานอะไรที่ทำให้บ้านเมืองดีขึ้น ทั้งสองฝ่ายคงได้ชี้แจงในที่ประชุม เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์
เมื่อถามถึงกรณีการอภิปรายในวันที่ 24 มี.ค. จะถึงเวลา 05.30 น. ของวันที่ 25 มี.ค. นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ไม่เป็นไร เราก็อภิปรายมาเกิน 05.00 น. ก็ต้องสลับกันบางคนอาจจะต้องพักรับประทานอาหารบ้าง ซึ่งคนอภิปรายและรัฐบาลในส่วนที่เกี่ยวข้องก็ต้องอยู่ แต่ที่ต้องอยู่ตลอดคือประธานทั้ง 3 คน ที่ต้องสลับกันเป็นประธาน
เมื่อถามว่าใช้เวลาแค่ 2 วัน ก่อนลงมติใช่หรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ตามที่ตกลงกัน ซึ่งตนไม่ได้อยู่ในที่ตกลง แต่มีการรายงานมาว่าจะมีการอภิปรายเต็มที่วันแรกถึง 05.30 น. และวันที่ 25 มีนาคม ซึ่งถือว่าเป็นวันอภิปรายวันที่สอง จะใช้เวลาถึงประมาณ 23.30 น. โดยจะไม่เกิน 00.00 น. แล้วจะลงมติ ในวันที่ 26 มี.ค. เวลา 10.00 น. ซึ่งเขามีเงื่อนไขอีกว่าหากฝ่ายค้านยังอภิปรายไม่ครบชั่วโมงตามที่ตกลงกันคือ 28 ชั่วโมง วันที่ 25 มี.ค. ก็ต้องเลยไปในวันที่ 26 มี.ค. ซึ่งไม่รู้จะจบตอนไหน แต่ก็ไม่สามารถจะลงมติได้ในวันเดียวกัน ฉะนั้นก็ต้องไปลงมติในวันที่ 27 มี.ค. แทน
เมื่อถามย้ำว่า วันที่ 27 มี.ค. เป็นวันประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ต้องประสานกันตอนหน้างานอีกทีหนึ่ง เพราะหากอภิปรายแล้วไม่มีอะไร ก็คงจะขอหยุดได้และหากถ้าเขายังมีอะไรอยู่ หรือพูดไม่หมด เรื่องนี้วิปทั้ง 3 ฝ่าย คงจะต้องประสานกันหน้างาน ทั้งนี้ มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์รัฐสภาตลอดทั้งวัน
ด้าน นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราชและรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 24-25 มี.ค. ว่า เป็นเรื่องการตกลงระหว่างวิป 3 ฝ่าย สุดท้ายฝ่ายรัฐบาลให้เวลาฝ่ายค้าน 28 ชั่วโมง ซึ่งต้องดูการอภิปรายของฝ่ายค้าน โดยต้องเป็นข้อเท็จจริงเพื่อให้ประชาชนได้รับฟัง แต่หากเราเล่นการเมืองมากเกินไป หรือสร้างข้อมูลเท็จขึ้นมาแล้วมาสร้างการรับรู้ของประชาชนที่ไม่เป็นความจริงก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายค้านการันตีว่าข้อมูลที่มีไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน นายชัยชนะ กล่าวว่า ตนจะรอดู และรับฟังข้อมูลของฝ่ายค้าน ส่วนนายกรัฐมนตรีและนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องแยกให้ออกในฐานะที่เป็นพ่อกับลูก และในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดินแต่จะไปแยกระหว่างพ่อกับลูกก็คงแยกไม่ได้
“การที่พ่อเป็นห่วงลูกเป็นสิ่งที่ไม่ผิด และนายทักษิณก็ไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายบริหารรัฐบาลอยู่แล้ว ซึ่งเห็นว่านายกรัฐมนตรีไปนั่งเป็นประธานในที่ประชุมในการแก้ปัญหาแต่ละเรื่อง ต้องยอมรับว่าประเทศไทยเราในวันนี้ สิ่งที่รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขคือ ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไข และนายกรัฐมนตรีต้องแสดงบทบาทให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้หนักกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง ถ้ารัฐบาลสามารถแก้ไขเศรษฐกิจได้ดีขึ้น สร้างรายได้ให้กับประชาชนมากขึ้น เพิ่มความเชื่อถือให้กับต่างชาติมากขึ้น นักลงทุนก็ลงทุนประเทศก็พ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจได้ ก็ต้องเป็นกำลังใจให้รัฐบาลเข้ามาทำงานยังไม่ครบ 1 ปี ก็ต้องรอดูว่าถ้า 1 ปียังทำไม่ได้ต้องมาคิดกันว่าแก้ไขอย่างไร” นายชัยชนะกล่าว
เมื่อถามว่าทุกครั้งที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจอาจส่งผลกระทบถึงการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)กังวลในเรื่องนี้หรือไม่ นายชัยชนะ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่กังวลอยู่แล้ว เรามีความมั่นใจในรัฐมนตรีทั้งสองคน ไม่ว่าจะเป็นนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ทำงานช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่โดยเฉพาะการเร่งออกเอกสารที่ดินทำกินมอบให้กับพี่น้องประชาชนที่มีที่ดินทับซ้อนระหว่างรัฐกับประชาชน ก็ต้องเร่งดำเนินการซึ่งตอนนี้ประมาณ 5 แสนไร่แล้ว ส่วนนายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.สาธารณสุข ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ก็เดินหน้าทำ MOU ระหว่างกรมอนามัยกับท้องถิ่น และการประปาส่วนภูมิภาค เพื่อการผลิตน้ำดื่มให้ถูกหลักอนามัยให้ประชาชนได้ใช้ และย้ำว่า เราไม่มีความกังวลในเรื่องนี้อยู่แล้ว
เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์จะช่วยนายกรัฐมนตรีชี้แจงอย่างไรบ้าง นายชัยชนะ กล่าวว่า การตอบคำถามเป็นเรื่องของนายกฯ ถ้าอะไรที่เกี่ยวข้องแล้วนายกฯมอบหมายในส่วนของรัฐมนตรีที่พรรคประชาธิปัตย์ดำรงตำแหน่งก็ต้องชี้แจงตามท่านนายกฯมอบหมาย ในส่วนของการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติถ้าข้อมูลไหนเป็นข้อมูลข้อเท็จจริงเราก็รับฟัง แต่ข้อมูลไหนเป็นข้อมูลที่ผิด และบิดเบือนตามข้อบังคับการประชุมเราก็ต้องทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
เมื่อถามว่าเตรียมตัวอย่างไรเพราะฝ่ายค้านบอกให้นำหมอน มุ้ง มาอยู่ที่อาคารรัฐสภา 3 วัน 2 คืน นายชัยชนะ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ฝ่ายค้านต้องไปเตรียมมา หมอน มุ้ง คงไม่ต้องเตรียมขนาดนั้น ตนคิดว่าจิตสำนึกของส.ส.ทุกคนมีอยู่แล้ว ถ้ามีการประชุมเราก็นั่งประชุมก็ช่วยกันในการทำงาน ซึ่งตนคิดว่าการมีอภิปรายไม่ไว้วางใจ ฝ่ายรัฐบาลยินดีที่เปิดให้อยู่แล้ว และเปิดกว้างด้วยในการอภิปรายได้อย่างเต็มที่ และถ้าไม่จบก็ต่อเวลาได้อีก แต่เอาข้อมูลถ้าอภิปรายซ้ำหลายๆเรื่องอย่าให้ประชาชนเบื่อแล้วกัน
“ฝากถึงฝ่ายค้านว่า เอาข้อมูลที่เป็นจริงอย่าสร้างความเบื่อหน่ายให้กับประชาชน สร้างความสนใจให้กับประชาชนดีกว่า การเมืองจะได้สร้างสรรค์เอาข้อเท็จจริงมาพูดกันมีข้อมูลแค่ไหนก็เอาแค่นั้น ไม่ต้องเพิ่มเติมกัน สิ่งไหนผิดก็ว่าไปตามผิดถูก ผมว่าประชาชนตัดสินใจได้ ผมก็อยากเห็นเหมือนกันว่าครั้งนี้จะเป็นอย่างไร“ นายชัยชนะกล่าว
ที่โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการฯแจ้งวัฒนะ นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกรณีการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนการฮั้วเลือก สว.ที่หลายฝ่ายอยากให้ดำเนินการให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ว่า กกต.ดำเนินการไม่ชักช้า จะพยายามรีบเร่ง แต่ต้องคำนึงถึงผู้มีส่วนเกี่ยวทั้งผู้ร้อง และผู้ถูกร้อง เปิดโอกาสให้ได้รับทราบและชี้แจ้งข้อเท็จจริงพยานหลักฐาน การตรวจสอบบางครั้งใช้เวลาเพราะเกี่ยวข้องกับหลายคน หากมีพยานหลายคน หรือมีข้อสงสัย มีผู้เกี่ยวข้องเยอะเป็นร้อยคนก็ต้องใช้เวลา ถ้าไปสรุปก็จะไม่ได้รับความยุติธรรม หรือถ้าเร่งดำเนินการและเรื่องมาถึงสำนักงาน เลขาฯกกต.เห็นว่าการสอบสวนไม่ครบถ้วน อาจจะสั่งให้ไปสอบเพิ่มเติม เมื่อมาถึงคณะอนุกรรมการไต่สวน ก็อาจจะบอกว่าประเด็นนี้ยังไม่มีความชัดเจนอาจให้ไปทำเพิ่ม มาถึงกกต.ก็มีหลายกรณีที่บอกว่าต้องไปสอบเพิ่มอีก ซึ่งกระบวนการก็จะเร่งรัดอยู่เสมอว่าทำโดยไม่ชักช้า แต่ไม่กระทบสิทธิผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
เมื่อถามว่าระยะเวลาในการเลือก สว.ผ่านมาเป็นระยะเวลานาน จะเป็นอุปสรรคหรือมีข้อจำกัดในการรวบรวมพยานหลักฐานในการตรวจสอบการฮั้ว สว.ด้วยหรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า กกต.เริ่มรับคำร้อง หลังการเลือกระดับอำเภอเมื่อ 9 มิ.ย.2567 เมื่อรับเรื่องกระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานก็เริ่มตั้งแต่ตอนนั้น แต่ถ้าเมื่อมาร้องหลังการเลือก สว. การรวบรมพยานหลักฐานก็จะยากขึ้น หากมีพยานบุคคลที่ต้องสอบเยอะก็ต้องใช้เวลา เพราะถ้าไม่ครบจะไม่เกิดความยุติธรรมกับใคร
เมื่อถามอีกว่า คณะสว.สำรองไปร้องให้ตรวจการทำหน้าที่ของนายแสวง บุญมี เลขาฯกกต. ตามมาตรา 157 นายอิทธิพร กล่าวว่า ก็เป็นสิทธิของทุกคน เพราะว่ากกต.ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการ หรือสำนักงาน เจ้าหน้าที่ ถ้าปฏิบัติหน้าที่แล้วคนอื่นหรือใครก็ตาม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเห็นว่าปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้อง ก็เป็นสิทธิของเขาที่จะใช้สิทธิ หากทำตามกฎหมายก็สามารถชี้แจงได้
เมื่อถามว่ากรณีการตรวจสอบการฮั้ว สว. ไม่ใช่ถือเรื่องไว้ ให้ผ่านไปปีหนึ่ง แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ยกเรื่องไปใช่หรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า ทุกอย่างที่ทำอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายไม่เกี่ยวกับเรื่องอื่น ส่วนกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษจะตรวจสอบ จะทำให้การทำงานของกกต.ล่าช้าหรือไม่ หรือยังอยู่ในกรอบเวลา นายอิทธิพร ระบุว่า อำนาจหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวน การกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายสว. เป็นหน้าที่ของ กกต. การกระทำใดที่เป็นความผิดตามกฎหมายอื่นก็เป็นหน้าที่หน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่รักษากฎหมาย จะไม่เกี่ยวกัน
เมื่อถามย้ำว่าการดำเนินการจะไม่ล่าช้าไปกว่าดีเอสไอ เพราะดีเอสไอเพิ่งตั้งเรื่อง ถ้าเขาเสร็จก่อนจะไม่เป็นการเสียหน้าใช่หรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า ดีเอสไอเพิ่งแจ้งให้ กกต.ทราบว่ามีผู้มาร้อง เกี่ยวกับการกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย สว. กกต.ก็มาดูว่าเรามีมติให้รับมาทำเอง เรารับด้วยเหตุผลที่ว่าความปรากฎต่อ กกต.มีผู้มาร้องต่อดีเอสไอ จึงรับมาทำเอง ด้วยเหตุความปรากฎตามกฎหมาย และกกต.ก็สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ดีเอสไอทำนำมารวมกันกับที่ กกต.พิจารณา ซึ่งมี 3 เรื่องที่อยู่กับดีเอสไอ โดยคำร้องการเลือกสว.ฝ่าฝืนตามมาตรา 77 (1) หรือที่เรียกว่าฮั้ว มีผู้มาร้องต่อ กกต.ทั้งสิ้น 220 เรื่อง และกกต.จะรับจากดีเอสไออีก 3 เรื่อง เมื่อรับมาแล้วก็ตั้งเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเป็นคณะสืบสวนไต่สวนร่วมกับ กกต.ด้วย เมื่อทำเช่นนี้แล้วก็มีความมั่นใจว่ากระบวนการไม่ได้เริ่มต้นจากหนึ่ง แต่จะดำเนินการต่อเนื่องจาก 3 เรื่อง ของดีเอสไอ
เมื่อถามว่าคำร้อง 220 เรื่อง มีหลักฐานอะไรที่จะมองได้ว่าเป็นการฮั้วเลือก สว. นายอิทธิพร กล่าวว่า เรื่องยังไม่ถึงที่ประชุม กกต. บางเรื่องก็มาถึงแล้ว แต่หลักฐานไม่ชัดเจน ยังไม่ถึงขั้นจะเป็นการฮั้ว แต่ดูแล้วเรื่องที่จะเข้าข่ายการฮั้วมี 27 เรื่อง แต่เรื่องยังมาไม่ถึงที่ประชุม กกต. เมื่อมาถึงแล้ว กกต.ก็สามารถพูดได้ว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอในการตัดสินหรือไม่ จะต้องสอบสวนต่อ เพราะถ้าเป็นการฮั้วก็จะทราบดีว่าจะทำเป็นกระบวนการใช้คนเยอะ ดังนั้นพยานบุคคล และผู้สอบก็มีเยอะ ถ้าสอบสวนมีการนัดแล้ว แต่เจ้าตัวไม่สะดวกก็ต้องนัดใหม่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่จะต้องใช้เวลา แต่ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้ช้าต้องทำให้เร็ว เพราะ กกต.กำหนดกรอบเวลาไว้แล้ว ก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้แล้วเสร็จด้วยความรวดเร็ว แต่บางครั้งก็ไม่สามารถทำให้เสร็จเร็วได้ เพราะจะกระทบกับความยุติธรรม ส่วนเรื่องการกันบุคคลไว้เป็นพยาน หรือขอความคุ้มครอง ขณะนี้ยังไม่มีพยานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือก สว. และไม่คิดว่าจะมี เพราะถ้ามีต้องเข้าสู่ที่ประชุม กกต.ให้ความเห็นชอบ ซึ่งขณะนี้ยังไม่เห็น