เมื่อพูดถึงความสำเร็จในโลกธุรกิจ หลักสูตร MBA ทั่วโลกมักสอนให้ผู้บริหารมุ่งสู่การเป็น "เบอร์ 1" เพราะตำแหน่งผู้นำอุตสาหกรรมดูเหมือนจะเป็นสุดยอดของความสำเร็จทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง การเป็นเบอร์ 2 หรือผู้ตาม กลับมีข้อได้เปรียบหลายด้าน ที่ช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลเช่นเดียวกับผู้นำอุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญกับ "คำสาปของผู้นำ" หรือ “ Curse of a Leader” เป็นแรงกดดัน

คำว่า “Curse of a Leader” หรือ "คำสาปของผู้นำ" หมายถึงความท้าทายที่องค์กรระดับแนวหน้าต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น

• การถูกจับตามองจากทุกฝ่าย – สังคม นักวิเคราะห์ ผู้บริโภค และสื่อมักให้ความสนใจกับทุกการเคลื่อนไหว

• แรงกดดันจากผู้มีส่วนได้เสีย – นักลงทุน ลูกค้า และ NGO คาดหวังให้ผู้นำเป็นแบบอย่าง ทั้งในด้านนวัตกรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม

• การถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด – ทั้งจากกฎระเบียบ หน่วยงานกำกับดูแล และคู่แข่งในอุตสาหกรรม

ทั้งหมดนี้ทำให้หลายองค์กรเลือกที่จะเป็น "Fast Follower" หรือผู้ตามที่ฉลาด แทนที่จะเป็นเบอร์ 1 เพราะสามารถลดต้นทุนและแรงเสียดทานจากปัจจัยภายนอก ในขณะที่ยังสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

5 คำสาปที่ผู้นำต้องเผชิญ

1. คำสาปแห่งต้นทุน: ผู้นำต้องลงทุนมหาศาลในนวัตกรรม
องค์กรที่เป็นผู้นำมักต้องลงทุนมหาศาลใน R&D (Research & Development) เพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่และรักษาความเป็นเบอร์ 1 แต่ความเสี่ยงคือ ไม่ใช่ทุกนวัตกรรมจะประสบความสำเร็จ  และหากล้มเหลว องค์กรอาจสูญเสียเงินมหาศาล  
ตัวอย่าง:
- Apple ลงทุนหนักในการพัฒนา iPhone รุ่นแรก ในขณะที่ Samsung ใช้กลยุทธ์ Fast Follower นำเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์แล้วมาปรับปรุงและเสนอในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า  
- Tesla เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม EV และต้องแบกรับต้นทุนมหาศาลเพื่อพัฒนาแบตเตอรี่และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ขณะที่ BYD และ Hyundai ใช้แนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีอยู่แทน  
ข้อได้เปรียบของเบอร์ 2: ผู้ตามสามารถรอดูว่าผู้นำประสบความสำเร็จหรือไม่ ก่อนนำเทคโนโลยีที่พิสูจน์แล้วมาพัฒนาต่อโดยใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่า  

2. คำสาปแห่งแรงกดดันจากสังคม: เป้าหมายของ NGO 
องค์กรขนาดใหญ่และเป็นผู้นำอุตสาหกรรมมักถูกจับตามองจาก NGO (องค์กรพัฒนาเอกชน) กลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคม  ซึ่งพุ่งเป้าไปที่บริษัทที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เพราะสามารถสร้างกระแสได้ง่ายกว่า  
ตัวอย่าง:
- Nike  ถูกโจมตีเรื่องแรงงานเด็ก ขณะที่แบรนด์รองที่ใช้ซัพพลายเชนเดียวกันกลับไม่ถูกกล่าวถึง  
- McDonald’s  มักเป็นเป้าหมายของกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและนักโภชนาการ ขณะที่แบรนด์ฟาสต์ฟู้ดรองๆ ไม่ต้องเผชิญแรงกดดันเท่ากัน  
ในประเทศไทย: บริษัทใหญ่อย่าง PTT, CP, SCG, ThaiBev มักเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์ ขณะที่บริษัทคู่แข่งที่มีขนาดเล็กกว่า หรือเป็นเบอร์ 2-3 ของอุตสาหกรรม กลับดำเนินธุรกิจแบบเดียวกันโดยไม่ถูกโจมตี  
ข้อได้เปรียบของเบอร์ 2: บริษัทที่เป็นอันดับรองมีอิสระมากกว่าในการดำเนินกลยุทธ์ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกสังคมกดดันมากเท่าผู้นำ  

3. คำสาปแห่งความคาดหวัง: CSR และ ESG ที่ต้องมากกว่าคนอื่น
นอกจากการถูกเพ่งเล็งจากสังคมแล้ว ผู้นำอุตสาหกรรมมักถูกคาดหวังให้เป็นแบบอย่างด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) และความยั่งยืน (ESG) ซึ่งหมายถึงต้นทุนและภาระเพิ่มเติมที่องค์กรต้องแบกรับ  
ตัวอย่าง:
- Unilever ถูกกดดันให้ลดคาร์บอน ลดพลาสติก และใช้วัตถุดิบที่ยั่งยืน ขณะที่แบรนด์รองที่ใช้แนวทางเดียวกันไม่ต้องเผชิญแรงกดดันเท่ากัน  
- ธนาคารชั้นนำถูกบังคับให้มีมาตรฐาน ESG ที่เข้มงวด ขณะที่ธนาคารขนาดกลางสามารถดำเนินธุรกิจโดยไม่ต้องลงทุนมหาศาลในด้านนี้  
ข้อได้เปรียบของเบอร์ 2:บริษัทที่เป็นอันดับรองสามารถเลือกลงทุนด้าน CSR และ ESG เท่าที่จำเป็น โดยไม่ต้องเผชิญแรงกดดันจากนักลงทุนและสังคมมากเท่าผู้นำ  

4. คำสาปแห่งกฎระเบียบ: เบอร์ 1 มักถูกตรวจสอบเข้มงวดกว่า
บริษัทที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรมมักจะถูกหน่วยงานกำกับดูแลตรวจสอบอย่างเข้มงวดกว่าผู้เล่นรายอื่นๆ เนื่องจากอิทธิพลทางเศรษฐกิจและตลาดที่สูง  
ตัวอย่าง:
- Facebook และ Google ถูกเพ่งเล็งเรื่องการผูกขาดและการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล ในขณะที่แพลตฟอร์มอย่าง TikTok หรือ Snapchat ยังดำเนินธุรกิจได้อย่างเสรีมากกว่า  
- Tesla ถูกตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยของรถยนต์ไฟฟ้าอย่างหนัก ขณะที่แบรนด์ EV อื่นๆ ไม่ได้รับแรงกดดันในระดับเดียวกัน  
ข้อได้เปรียบของเบอร์ 2:ผู้ตามสามารถดำเนินกลยุทธ์ได้ยืดหยุ่นกว่า เนื่องจากหน่วยงานกำกับดูแลมักเพ่งเล็งไปที่ผู้นำอุตสาหกรรมก่อน  

5. คำสาปแห่งการแข่งขัน: ศัตรูเยอะ พันธมิตรน้อย
เมื่อบริษัทกลายเป็นเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรม ย่อมถูกมองว่าเป็น เป้าหมายหลักของคู่แข่ง ทำให้ยากต่อการสร้างพันธมิตรหรือความร่วมมือ  
ตัวอย่าง:
- Intel เคยครองตลาดซีพียู และแทบไม่มีใครในอุตสาหกรรมอยากร่วมมือด้วย จนกระทั่ง AMD ใช้กลยุทธ์ Smart Followerและสามารถแบ่งส่วนแบ่งตลาดมาได้  
- Toyota เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ ทำให้ต้องแข่งขันกับหลายค่าย แต่ Honda ซึ่งเป็นอันดับรอง สามารถสร้างความร่วมมือได้ง่ายกว่า  
ข้อได้เปรียบของเบอร์ 2:  บริษัทที่เป็นอันดับรองสามารถเลือกแนวทางการทำงานที่เปิดกว้างกว่า และเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น  

บทสรุปของเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า เบอร์ 1 อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะแม้ว่าการเป็นเบอร์ 1 จะมาพร้อมกับข้อได้เปรียบในเรื่องของแบรนด์และอำนาจต่อรองในตลาด แต่ก็ต้องแลกมาด้วยแรงกดดันมหาศาลจากทุกทิศทาง   ไม่ว่าจะเป็นการที่ต้องลงทุนมหาศาลในนวัตกรรม  ต้องเผชิญแรงกดดันจาก NGO และสังคม   ต้องแบกรับความคาดหวังด้าน CSR และ ESG  ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวด  ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือด  ดังนั้น ในบางกรณี "การเป็นเบอร์ 2 อาจเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดกว่า"  เพราะสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง โดยไม่ต้องเผชิญกับ 5 คำสาปที่ผู้นำต้องแบกรับ