“วิป 3 ฝ่าย”สรุปเคาะศึกซักฟอก 24-25 มี.ค. นัดลงมติ 26 มีนาฯ แย้มประท้วงวุ่นไม่จบ อาจยืดลงมติ 27 มี.ค. ด้าน กรอบเวลา “ฝ่ายค้าน” ได้ 28 ชม. “รัฐบาล-ครม.” 7 ชั่วโมง ส่วน “เท้ง” อัด เอาผลประโยชน์ประเทศแลกครอบครัวขณะที่ “สมคิด” ย้ำ “นายกฯ” ไม่หวั่นฝ่ายค้านซักฟอก โวรู้ข้อสอบหมดแล้ว
เมื่อวันที่ 19 มี.ค.68 เวลา 11.20 น.ที่รัฐสภา วิป 3 ฝ่าย นำโดยนางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ในฐานะตัวแทน คณะรัฐมนตรี(ครม.) นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒนสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อหารือถึงกรอบเวลาการประชุมสภาฯ เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ว่า ตามกรอบเวลาที่ตกลง คือ พรรคร่วมฝ่ายค้านจะได้เวลาอภิปราย 28 ชั่วโมง ส่วนเวลาของคณะรัฐมนตรีและสส.พรรคร่วมรัฐบาล ได้รับ 7 ชั่วโมง และเวลาของประธานในที่ประชุม ประมาณ 2 ชั่วโมง โดยจะเริ่มการอภิปรายในวันที่ 24 มี.ค.เวลา 08.00 น.อย่างไรก็ดีมีเงื่อนไขที่ที่ประชุมตกลงร่วมกันคือ หากมีการประท้วงจนทำให้ฝ่ายค้านใช้เวลาไม่หมด หรือ อภิปรายได้ไม่ครบ เพื่อไม่ให้เกิดการอภิปรายนอกสภาฯ ต้องให้สิทธิฝ่ายค้านอภิปรายได้แม้จะเกินเวลาของแต่ละวัน จากเดิมที่กำหนดให้การอภิปรายแต่ละวันไม่เกินเที่ยงคืน แต่หากอภิปรายได้ไม่ครบต้องให้เวลาเกินไป ซึ่งอาจทำให้ต้องเลื่อนการลงมติ จากเดิมที่กำหนด ในวันที่ 26 มี.ค. ไปเป็นวันที่ 27 มี.ค.
“เป็นเหตุผลที่ไม่ให้เกิดการประท้วงพร่ำเพรื่อ จึงต้องมีเงื่อนไขเพื่อให้เป็นไปตามที่ทุกฝ่ายต้องการให้การอภิปรายราบรื่นที่สุด ส่วนการอภิปรายที่อาจมีพาดพิงบุคคลภายนอกนั้น ตามญัตติที่แม้ไม่ระบุชื่อ แต่คิดว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการพูดถึงได้ เพราะมีเนื้อหาในญัตติ อย่างไรก็ดีพรรคประชาชนไม่สามารถสั่งการ หรือแทรกแซงเนื้อหาของพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่น ต้องอภิปรายตามเนื้อหาของพรรคที่เตรียมไว้” นายปกรณ์วุมิ กล่าว
ด้านนางมนพร กล่าวว่า ในเวลาของฝ่ายรัฐบาล เบื้องต้นกำหนดว่าจะให้มีการประท้วงได้ 2 ชั่วโมง โดยสามารถประท้วงได้วันละ 1 ชั่วโมงและ ครม. ได้ชี้แจงรวม 5 ชั่วโมง ทั้งนี้ได้กำชับฝ่ายค้านด้วยว่าหากไม่จำเป็นไม่ต้องพาดพิงคนนอก และให้อภิปรายในผลงานของนายยกฯ สำหรับเวลาที่อภิปรายกำหนดให้วันละ 11 ชั่วโมง โดยวันที่ 24 มี.ค.จะเริ่มอภิปราย 08.00 น.และจบก่อนเที่ยงคืน จากนั้นวันที่ 25 มี.ค.เริ่มประชุม 08.00 น. และอภิปรายถึง 23.30 น. และในวันที่ 26 มี.ค. เวลา 10.00 น. จะเป็นการลงมติ แต่หากเวลาฝ่ายค้านไม่หมด ประธานรับปากว่าจะให้ใช้เวลาฝ่ายค้านให้หมด ซึ่งเงื่อนไขเป็นข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย
ขณะที่นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะวิปฝ่ายค้าน กล่าวเสริมว่า การอภิปราต้องบริหารให้อยู่ในกรอบเวลา อาจใช้น้อยกว่าที่กำหนด หรือเสร็จเร็ว หากบรรยากาศไม่มีการประท้วงหนักเกินไปและทุกฝ่ายบริหารเวลาได้ อย่างไรก็ดีกรอบเวลาที่ได้ตกลงมีความชัดเจน ทั้งฝั่งรัฐบาลและค้าน ที่ทุกฝ่ายต้องรักษากติกา อยู่ในกรอบ 2 วัน หากไม่รักษากติกาจะต้องเพิ่มไปอีก 1 วัน
ด้าน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวย้ำถึงจุดยืนของฝ่ายค้าน ในการเจรจาเรื่องญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า เราอยากให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจเดินหน้าอย่างราบรื่น
เมื่อถามว่าการแก้ไขญัตติ โดยเปลี่ยนจากชื่อของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นคำว่าบุคคลในครอบครัว นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ทำให้สามารถอภิปรายได้กว้างขึ้น และธีมในการอภิปรายครั้งนี้คือ 'ดีลแลกประเทศ' ซึ่งหมายความว่า เรามองเห็นว่าพรรคเพื่อไทยนำประโยชน์ของประเทศมาแลกกับผลประโยชน์ของคนในครอบครัว และเชื่อว่าในการอภิปรายจริง จะมีการใช้คำอีกหลากหลาย มากกว่าคำว่าบุคคลในครอบครัว เพราะคำนี้เป็นภาษาทางการในญัตติ ซึ่งค่อนข้างมีความเหมาะสม
เมื่อถามว่านายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน ระบุ เมื่อเปลี่ยนเป็นคำว่าบุคคลในครอบครัวแล้ว จะสามารถอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลอื่นในครอบครัวชินวัตรได้ เช่น นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ก็มีความเป็นไปได้ ถ้าอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง เพราะเรามองว่าการบริหารที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ได้เอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นตัวตั้ง แต่เอาผลประโยชน์ของบุคคลในครอบครัวชินวัตรเป็นตัวตั้งมากกว่า
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ข้อมูลในการอภิปรายหลายส่วนเป็นข้อมูลเชิงลึก ที่ไม่เคยมีการเปิดเผยต่อสื่อมวลชนมาก่อน ซึ่งคาดว่าคงไม่ถึงขั้นลงมติถอดถอนนายกรัฐมนตรี แต่จะมีกระบวนการยื่นฟ้องร้องเอาผิดตามกฎหมายต่อไป โดยใช้ข้อมูลจากการอภิปรายเป็นหลักฐาน หากนายกรัฐมนตรีไม่สามารถตอบได้ชัดเจน กระบวนการนี้ก็จะทำให้มีแนวโน้มสูง ที่จะทำให้นำไปสู่การยื่นถอดถอนได้ในอนาคต
เมื่อถามว่า ยังยืนยันอยู่หรือไม่ หากเสียงลงมติของฝ่ายรัฐบาล หายไปแม้เพียงหนึ่งเสียง จะสะท้อนเสถียรภาพ และภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรี นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ทุกคะแนนเสียงที่โหวตเห็นชอบให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีส่วนสำคัญ เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถจับตา และประเมินได้ ว่านายกรัฐมนตรีสามารถควบคุมเสียงของรัฐบาลได้จริงหรือไม่
"การอภิปรายในครั้งนี้ จะตอกย้ำรอยร้าวในพรรคร่วมรัฐบาล ว่าเป็นปัญหาหลักของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งต้องรอดูว่านายกรัฐมนตรีจะตอบเอง หรือจะมอบหมายให้รัฐมนตรีคนอื่นชี้แจงแทน ซึ่งบรรยากาศส่วนนี้จะทำให้เราเห็นประเด็นตรงนี้ได้ชัดเจนขึ้น" นายณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีมีการเปรียบเทียบระหว่างภาพปลาหมอคางดำ บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล กับภาพของนายกรัฐมนตรี และครอบครัว ภายในทำเนียบรัฐบาล นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ภารกิจของนายกรัฐมนตรีมีความหลากหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันสำหรับผู้นำประเทศ คือการแสดงออกว่ารับรู้ความรู้สึกของประชาชนที่ประสบปัญหา ส่วนตัวคงไม่ขอให้ความเห็น ว่านายกรัฐมนตรีจะไปทำภารกิจอะไร
เมื่อถามว่านายวิโรจน์ เข้าร่วมสังเกตการณ์ม็อบปลาหมอคางดำ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ใช้คำไม่เหมาะสม นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า นายวิโรจน์อาจจะมีความโกรธเคืองแทนพี่น้องประชาชน ผู้นำทุกระดับล้วนมีความรู้สึก การสะท้อนความรู้สึกแทนประชาชนก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่จะทำให้ประชาชนรู้สึกว่า เราเป็นผู้แทนของพวกเขา และเรื่องการใช้คำต่างๆ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้หน้างาน แต่เชื่อว่า นายวิโรจน์ตั้งใจแสดงออกถึงความเป็นตัวแทนของประชาชน และไม่อยากให้วิเคราะห์เราไปถึงจุดที่ว่า จะมีการใช้ถ้อยคำเช่นนี้ในการอภิปรายหรือไม่ ยืนยันว่า เราจะอภิปรายอย่างสร้างสรรค์
ส่วน นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีฝ่ายค้านตั้ง หัวข้อเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า “ดีลแลกประเทศ” ว่า มองว่าเป็นคำหรู รูปสวย แต่กินไม่ได้ เป็นความอยากทำอะไรก็ได้แบบประหลาดๆ คิดว่าตัวเองเก่ง ฝ่ายค้าน ควรพูดด้วยสาระและเหตุผล ว่านายกฯ บริหารประเทศไม่ดีอย่างไร นายกฯจึงจะตอบให้ฟังได้
"ผมพูดได้เลยว่า ฝ่ายค้านจะอภิปรายเรื่องอะไรบ้าง ทั้งเรื่องปลาหมอคางดำ ปัญหาแรงงาน การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน เอ็มโอยู 44 รวมถึงภาวะความเป็นผู้นำของนายกฯ ผมเฉลยข้อสอบให้ฝ่ายค้านเอาไปทำได้เลย เพราะเชื่อว่าฝ่ายค้านพูดเรื่องเหล่านี้แน่ และขอบอกว่า ข้อสอบไม่ได้รั่ว แต่เพราะฝ่ายค้านพูดออกมาเอง ว่าจะพูดเรื่องอะไรบ้าง และฝ่ายค้านห้ามบอกนะว่า ข้อสอบรั่ว เพราะพวกคุณบอกเองหมดเลย โจทย์ในญัตติก็มี อย่างนี้พวกคุณไม่ต้องมาเล่นข้างนอกหรอก ไปเล่นข้างในเลย อย่ากลัว” นายสมคิด กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ออกมาระบุว่ามีหลายเรื่องที่ไม่เคยเป็นข่าว นายกฯ ฟังแล้วต้องอ้าปากค้างแน่ นายสมคิด กล่าวว่า ไม่เป็นไร ก็อภิปรายมา นายกฯ ก็ตอบไป ถ้ามีเหตุผลนายกฯ ก็ตอบหมด ยกเว้นประเภทมั่วมา ถ้าบอกว่านายกฯ บริหารผิดพลาดอย่างไร ตรงนี้เราเตรียมไว้หมดแล้ว ขอให้อยู่ในเหตุและผล เราตอบได้หมด แต่ถ้านอกเรื่องก็ไม่เป็นไร เพราะในสภามีคนคอยดูอยู่ พรรคเพื่อไทยมีปากทุกคน เพียงแต่ช่วงนี้ในพรรคขอให้ทุกคนสงบปากสงบคำ ให้ไปคุยในสภา ดังนั้นขอยืนยันว่าฝ่ายค้านจะพูดเบาหรือแรงไม่มีปัญหา เรารับได้
เมื่อถามว่า นายกฯดูจะหวั่นๆ เหมือนกันเพราะมีการกำชับให้สมาชิกคอยช่วยเหลือด้วย นายสมคิด กล่าวว่า นายกฯ ไม่ได้หวั่นไหว แค่กำชับให้ช่วยเหลือกัน เป็นเรื่องปกติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ใครมีข้อมูลอะไรก็เตรียมไว้ ส่วนกระทรวงต่างๆ ก็เตรียมไว้เพื่อยื่นให้นายกฯ ตอบเช่นกัน ไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่อาจจะเป็นครั้งแรกของนายกฯ เลยมีความตื่นเต้นอยู่บ้างเท่านั้น ยืนยันว่าไม่มีอะไร
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 20 มี.ค.2568 จะไปศาลอาญาเพื่อเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในคดีอาญาฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ซึ่งเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายยื่นฟ้องเองหลังจากรวบรวมพยานหลักฐานตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสื่อต่างๆ และตรวจสอบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องรวมทั้งยังอยู่ในระยะเวลาสามเดือนที่มีสิทธิในการฟ้อง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 ม.ค.2568
“ได้ปรึกษากับทนายจนเพียงพอที่จะนำไปฟ้องเป็นคดีอาญาต่อศาลได้แล้ว ดังนั้นพรุ่งนี้วันพฤหัสบดีที่ 20 มี.ค.2568 เวลาประมาณ 9.11 น. ผมจึงจะไปยื่นฟ้องที่ศาลอาญากลาง ถ.รัชดา เพื่อขอให้ศาลได้โปรดพิจารณารับไว้วินิจฉัยและพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำฟ้องพร้อมแนบพยานหลักฐานที่เป็นข้อเท็จจริงในสื่อต่างๆกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ระบุไว้ในฟ้องต่อไป” นายเรืองไกร กล่าว
ส่วนที่ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการตรวจสอบ ทุจริตฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่า ตัวเลขการร้องเรียนเรื่องสว.มีทั้งหมด 577 เรื่อง มีการพิจารณาแล้ว 228 เรื่อง เสร็จสิ้นแล้ว 82 เรื่อง โดยมี 9 เรื่อง ที่ส่งฟ้องศาลฎีกา ล่าสุดในการพิจารณาเมื่อวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยพิจารณาเกี่ยวกับการกระทำความผิดเลือกสว. ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.ตามมาตรา 77 (1) โดยระบุถึงการ กระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือก สว.ไม่ว่าจะเป็น การให้ เสนอว่าจะให้ หรือการจัดเลี้ยง มีมติให้ส่งศาลฎีกาพิจารณาอีก 1 เรื่อง ทำให้ตอนนี้เหลือคำร้องที่อยู่ระหว่างการพิจารณา 267 คำร้อง โดยอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของคณะอนุกรรมการวินิจฉัย 107 เรื่อง ซึ่งคณะกรรมการพยายามทำตาม กรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้
เมื่อถามว่ากรณีผู้แทนกรมสอบสวนพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้ามาร่วมทำงานด้วยจะทำให้การพิจารณาเร็วขึ้นหรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า ปกติเรารับเรื่องคำร้อง สว.มาโดยตลอด และคำร้องที่เกี่ยวพันกับมาตรา 77 (1) หรือเรื่องฮั้ว ซึ่งมี 220 เรื่อง ทาง กกต.ดำเนินการพิจารณาตรวจสอบเอง ทำเสร็จแล้ว 115 เรื่อง ส่วนกรณีดีเอสไอ ซึ่งกกต.มีมติเมื่อวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา ให้รับเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอ ทางนั้นแจ้งมาว่ามีเรื่องการกระทำฝ่าฝืน ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ที่ประชุม กกต.จึงมีมติให้รับมาดำเนินการสอบสวน โดยถือว่าเป็นความปรากฏ พร้อมตั้งคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน ขึ้นมาอีกคณะหนึ่ง โดยเชิญผู้แทนดีเอสไอเข้ามาร่วมอีก 3 คน เชื่อว่าการทำงานร่วมกัน จะสามารถพิจารณาได้โดยไม่ชักช้า
เมื่อถามว่าตัวแทนจากดีเอสไอ 3 คน เข้ามาร่วมทำงาน จะเป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่าง 2 หน่วยงาน ใช่หรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า ใช่ เพราะกฎหมายให้อำนาจตามมาตรา 42 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยกกต. เราสามารถขอให้เจ้าหน้าที่ ของหน่วยงานอื่นมาเป็นหนึ่งในกรรมการ ของคณะกรรมการสืบสวนไต่สวนได้ โดยกรอบการทำงานทุกเรื่องรวมถึงเรื่องฮั้ว จะมีกรอบการปฏิบัติหน้าที่ว่าควรจะเสร็จเมื่อไหร่ ซึ่งเราเคยมีประกาศออกมาเมื่อปี 2566 เรื่องกำหนดกรอบระยะเวลาในการดำเนินงานกระบวนการยุติธรรม ออกตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมที่กำหนดว่า ในการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ กกต. จะเริ่มจากคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน ยาวที่สุดไม่เกิน 90 วัน หลังจากนั้นจะนำเรื่องเข้ามาที่สำนักงาน กกต. ส่วนกลาง นำโดยเลขาธิการ กกต. ซึ่งจะมีเวลาอีก 60 วัน และไปที่อนุกรรมการวินิจฉัยตรงนี้ก็จะมีเวลาอีก 90 วัน โดยอาจจะมีการสอบสวนเพิ่มให้โอกาสพยานเข้ามาให้ถ้อยคำ รวมแล้วระยะเวลาทั้งหมดไม่ควรจะเกิน 1 ปี ที่จะต้องเสนอให้ที่ประชุมกกต.พิจารณา
เมื่อถามถึงความคืบหน้าการพิจารณาคำร้อง พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว. กรณีนี้ กกต.ต้องสอบสวนเองหรือทำงานร่วมกับทางดีเอสไอ นายอิทธิพร กล่าวว่า โดยหลักแล้วการสืบสวนไต่สวนเริ่มจากคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน และมาที่ส่วนกลาง คือเลขาฯ กกต. เป็นไปตามขั้นตอนที่ตนกล่าวข้างต้น สำนวนที่มีการส่งเข้ามาล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2567 มี 2 ข้อหาคือฝ่าฝืนมาตรา 77 (1) และ (4) ที่ประชุมเห็นว่า มีประเด็นที่ต้องสอบเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความชัดเจน เพื่อใช้ดุลยพินิจวินิจฉัยได้ จึงให้สำนักงาน กกต บอกกับเจ้าพนักงานสืบสวนไต่สวนดำเนินการสอบเพิ่มเติม คาดว่าเดือน เม.ย.นี้ น่าจะเสนอที่ประชุม กกต.พิจารณาได้
"กกต.มีหน้าที่ชัดเจนว่า คำร้องใดที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ที่เกี่ยวข้องกับ กกต. เป็นงานของเรา ส่วนการกระทำที่เกิดขึ้น หากเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายอื่น ซึ่งไม่ใช่กฎหมายเลือกตั้งก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ ซึ่งจากข่าวประชาสัมพันธ์ของดีเอสไอ ระบุว่าหากในการทำงานของดีเอสไอ ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการฝ่าฝืน พ.ร.ป. ว่าด้วยกันได้มาซึ่ง สว. เขาก็จะแจ้งมาที่ กกต. เพื่อพิจารณาตามอำนาจหน้าที่ต่อไป เพราะฉะนั้นการดำเนินงานจะไม่มีความซับซ้อนกัน จะมีแต่การส่งเสริมกัน" นายอิทธิพร กล่าว
เมื่อถามว่าคำร้องของ กกต. และดีเอสไอ มีส่วนไหนที่เป็นคำร้องเดียวกัน หรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า คำร้องดีเอสไอมีอยู่ 3 เรื่อง แต่มาร้องที่เราที่รับมาแล้วเฉพาะมาตรา 71 (1) มี 200 กว่าเรื่อง เพราะฉะนั้นในส่วนของดีเอสไอได้รับคำร้องและตรวจสอบแล้ว เห็นว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายการเลือก สว. เขาจึงแจ้งให้กกต.ทราบ ซึ่งอำนาจหน้าที่ของ กกต.ดูเรื่องการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มา สว. จึงรับมาสอบสวน
เมื่อถามถึงกรณีกลุ่ม สว.สำรองร้องต่อประธาน กกต.ให้ พักงานเลขาธิการกกต.ระหว่างที่มีการสอบสวนทุจริตเลือกสว. นายอิทธิพร กล่าวว่าเป็นกระบวนการที่หากมีผู้มายื่นคำร้อง เราจะทำได้ก็ต่อเมื่อคำร้องเข้าข่ายตามระเบียบสืบสวน ไต่สวน หรือไม่ก็เข้าสู่ระเบียบการรวบรวมข้อเท็จจริง เราจะทำอะไรเกินกว่านี้ไม่ได้ เพราะจะเป็นการกระทำเกินกว่าอำนาจหน้าหน้าที่ ทุกอย่างจะต้องมีการเสนอเรื่องมาโดยสำนักงาน กกต. หากไม่มีการเสนอขึ้นมาเราก็อาจจะหยิบยกได้ แต่โดยหลักแล้ว จะต้องให้สำนักงานเป็นผู้เสนอความเห็นมาในเบื้องต้นว่า เป็นคำขอ คำร้อง ขึ้นอยู่บนพื้นฐานอะไร ตามระเบียบใด ถ้าไม่มีพื้นฐานก็ไม่สามารถรับเรื่องไว้ได้
วันเดียวกัน นางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน พร้อมด้วยนายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ฟ้องหมิ่นประมาท ภายหลังเปิดเผยเรื่องอาคาร Skyy9
นางสาวรักชนก กล่าวว่า วันนี้ครบรอบ 1 เดือน ในการแฮคงบประกันสังคมพอดี ซึ่งก็ไม่คิดเหมือนกันว่า ประเด็นเรื่องประกันสังคม จะมาถึงในจุดนี้ ทั้งงบต่างๆ ที่ไม่โปร่งใส ทั้งการที่ประกันสังคมไม่ได้เปิดเผยข้อมูล หรือเมื่อมีคนขอข้อมูลแล้วไม่ส่งให้ จนมาถึงเรื่องตึก Skyy9 แต่พวกตนเอง 2 คน ก็ได้รับการคนละ 1 คดี ซึ่งถือว่าเราทำสำเร็จในฐานะที่เราเป็น สส.ที่ออกมาพูดเพื่อผลประโยชน์ของผู้ประกันตน จนมีคนเด้งรับ ยืนยันว่า เราพยายามจะตรวจสอบต่อไปเรื่อยๆ เพราะเรื่องประกันสังคมยังมีอีกหลายเรื่องให้ติดตาม
“เรื่องการโดนฟ้อง เราทั้ง 2 คนไม่ได้รู้สึก เป็นกังวล หรือร้อนรนอะไร เพราะเรายืนยันว่า สิ่งที่เราพูดเราไม่ได้พูดในฐานะที่เป็นเรื่องส่วนบุคคลกับใคร แต่เราพูดในฐานะที่ยืนอยู่ข้างผลประโยชน์ของผู้ประกันตน ไม่ว่าใครในประเทศนี้ ก็ยืนยันแทนเราได้ว่า เป็นสิ่งที่สาธารณะได้ประโยชน์ เราออกมาวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความสุจริต ที่เป็นการตั้งคำถามว่า คนที่เป็นรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงจะไม่รู้เรื่องราวการลงทุนนี้เลยหรือ และไม่แน่ใจว่าการตั้งคำถามเช่นนี้นำมาสู่การฟ้องร้องได้อย่างไร” นางสาวรักชนก กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีนายสุชาติ ระบุ ทำเกินหน้าที่ สส. เนื่องจากเป็นการพูดในที่สาธารณะ นายสหัสวัต กล่าวว่า การทำหน้าที่ สส.ไม่จำเป็นต้องพูดแค่ในสภา ยืนยันว่า เรื่องพวกนี้ต้องถูกตรวจสอบ และถูกพูดถึงได้ เพราะหากเราไม่ออกมาพูด ผู้ประกันตนก็ไม่รู้ พร้อมให้ความมั่นใจว่า มีหลักฐานเพียงพอกับเรื่องที่พูด
"มันเสียชาติเกิด ถ้าท่านเป็น สส.แล้วมารอพูดแต่ในสภา หรือตั้งกระทู้ถามอย่างเดียว เพราะอย่างที่เห็น พอตั้งกระทู้ถามไป บางคนก็ไม่เคยมาเลย เช่น นายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา คือพูดทุกที่ทุกเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ และคนที่เลือกเรามา" นางสาวรักชนก กล่าวเสริม
สำหรับกรณีที่นายสุชาติระบุอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเราแน่นอนนั้น นางสาวรักชนก กล่าวว่า “ดิฉันขอตั้งคำถามกับสังคมว่า เรา 2 คน ชัดเจนว่าอยู่ข้างผลประโยชน์ของผู้ประกันตน หากท่านยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเรา คือท่านอยู่ฝั่งใคร”
นางสาวรักชนก ย้ำว่า การที่ตนพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเนื่องจากตนไม่อยากให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นอีก ถามว่าใครได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ นี่เป็นผลประโยชน์ของผู้ประกันตนล้วนๆ เพราะการลงทุนในตึกนี้มีปัญหา และมีข้อสงสัยเต็มไปหมด สุดท้ายสังคมก็เห็นตรงกันว่า ไม่คุ้มค่าในการลงทุน เนื่องจากไม่สามารถได้ผลตอบแทนคืนมาอย่างสมน้ำสมเนื้อได้ ส่วนตัว ยอมไม่ได้ ซึ่งเราคงไปตรวจสอบไม่ได้ทุกบาททุกสตางค์ แต่เราสามารถโดยการนำกรณีตัวอย่างนี้ ออกมาตีแผ่ให้สังคมรับรู้ พร้อมเรียกร้องสำนักงานประกันสังคมถึงแผนบริหารซึ่งควรเป็นขั้นต่ำในการลงทุน ต้องตอบสังคมให้ได้ เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นอีก
สำหรับกระแสข่าวนางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู หรือแม่เลี้ยงติ๊ก เป็นผู้ให้ข้อมูลนั้น นางสาวรักชนก ระบุว่า เป็นเพียงการมาให้กำลังใจเฉยๆ ไม่ได้บอกว่าใครเป็นผู้ให้ข้อมูลเรา
ส่วนมองว่าจำนวน 50 ล้านบาทที่ถูกฟ้องร้องมากไปหรือไม่นั้น นางสาวรักชนก กล่าวว่า ยังแพ้นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เพราะนายรังสิมันต์ โดนถึง 100 ล้านบาท
ขณะที่นายสหัสวัต กล่าวเสริมว่า มูลค่าความเสียหาย เป็นสิทธิ์ของผู้ฟ้องร้องที่จะประเมินมูลค่า และเรียกค่าเสียหายจากเรา ขอให้เป็นวิจารณญาณของประชาชนและผู้ประกันตนว่าดูแล้วคิดอย่างไรกัน