นักวิชาการทีดีอาร์ไอ เผย 3 แนวทางช่วยแก้ปัญหาหนี้เสีย แนะดึงงบโครงการเงินดิจิทัลเฟส 3 ช่วยค้ำประกันให้เอกชนช่วยบริหารจัดการปัญหาหนี้เสีย
เมื่อวันที่ 19 มี.ค.68 นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส ทีดีอาร์ไอ กล่าวในรายการ "มุมการเมือง" ทางไทยพีบีเอส ถึงแนวคิดการซื้อหนี้ประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้เสียว่า ปัญหาหนี้ก้อนใหญ่เกิดขึ้นมาภายหลังช่วงโควิด-19 โดยพื้นฐานหากไม่นับสถานการณ์พิเศษโดยทั่วไป การดำเนินธุรกิจโดยปกติก็จะมีผู้ที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จก็จะทำให้หนี้เสีย (NPL) และหนี้ที่ใกล้จะเสีย (PM) อยู่แล้ว
โดยตามปกติจะมีกลไกตลาดในการจัดการปัญหาดังกล่าว เช่น ธนาคารจะแยกหนี้เหล่านี้เป็นหนี้เสีย เพราะการดำเนินการฟ้องร้องต่อไปก็อาจจะไม่คุ้มค่า รวมถึง ธนาคารอาจขายหนี้เหล่านี้ให้มืออาชีพ เช่น บริษัทรับจัดการหนี้ไปบริหารจัดการ ซึ่งอาจต้องมีการเจรจาเพื่อลดมูลหนี้ที่ติดค้างกันไว้ลง เพื่อให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ที่ค้างไว้ได้ โดยไม่ต้องเป็นหนี้สูญ (แฮร์คัตหนี้) จากนั้นบริษัทที่รับจัดการหนี้จะไปเจรจากับลูกหนี้และหากำไรจากตรงนั้น
ทั้งนี้ประเด็นปัญหาคือ มีกลไกอยู่แล้ว แต่มีหนี้จากโควิดระบบกลไกต่างๆก็ทำงานอยู่ แต่สางปัญหาได้ช้า ผลที่ตามมาจึงทำให้เกิดปัญหากองหนี้ใหญ่และส่อจะไม่ได้รับการชำระคืนหนี้ และทำให้ธนาคารไม่ค่อยปล่อยกู้ เศรษฐกิจก็จะชะลอตัว ทำให้ธุรกิจชะงักงัน ปัญหาหนี้สะสมเหล่านี้ก็พอกพูนไปอีก
นายนณริฏ กล่าวอีกว่า กองหนี้เหล่านี้หากปล่อยไว้โดยไม่ดำเนินการจะใช้เวลาแก้ปัญหาหนี้ราว 3-5 ปี แต่หากตามที่นายทักษิณ ชินวัตรต้องการแก้ไขปัญหาให้เร็วกว่านี้ จึงจะเสนอกลไกเหล่านี้เข้ามาโดยซื้อกองหนี้ไปบริหารจัดแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะออกมาในรูปแบบใด โดยอาจมี 3 แนวทางคือ 1.ดำเนินการโดยเอกชน 100 % ซึ่งจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เพราะหากภาคเอกชนจะทำกำไร ขณะนี้ก็มีหนี้เหล่านี้ให้ภาคเอกชนเลือกมาบริหารจัดการเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีข้อดีคือ ไม่กระทบงบประมาณรัฐ โดยภาครัฐอาจต้องไปหาแรงจูงใจมาให้เอกชน ซึ่งอาจได้ยาก การให้เอกชนมาดำเนินการ กรณีที่ดีที่สุดคือ แต่ปกติในตลาดมีกระบวนการเหล่านี้อยู่แล้วการนำหนี้มาบริหารจัดการ แต่ขนาดของปัญหากองหนี้นั้นใหญ่มาก เอกชนทำเต็มที่และใช้เวลาในการจัดการ ซึ่งมันทำได้แต่ไม่อาจเห็นผลว่า เอาหนี้ทั้งระบบที่เป็นปัญหาออกไปเพราะเยอะกว่าที่ภาคเอกชนจะจัดการเองได้ทั้งหมด
2.ภาครัฐดำเนินการเอง อาจจะตั้งหน่วยงานหรือองค์กรขึ้นมา หรือ ผูกติดกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย และรับโอนหนี้ โดนแฮร์คัตหนี้ มาอยู่ในภาครัฐ
3.ภาครัฐประกันหนี้เพื่อสร้างจูงใจให้เอกชนมาดำเนินการคล้ายกับ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) 3.ภาครัฐต่ำประกันเพื่อจูงใจให้เอกชนมาดำเนินการมากขึ้น เนื่องจากมีปัญหาคือมีหนี้ เอกชนที่ไม่สามารถปล่อยกู้ให้เอสเอ็มอีได้เพราะมีความเสี่ยงสูงเอกชนไม่กล้าปล่อยกู้ ภาครัฐจึงค้ำประกันหนี้เสียให้ 30 % ซึ่งเป็นแนวทางกลางๆ
โดยทางเลือกที่ดีที่สุดและใช้เงินไม่มากแทนที่จะแจกเงินดิจิทัล มาใช้กลไกแนวทาง บสย.มาค้ำประกันให้ 20-30% และให้เอกชนมาบริหารจัดการหนี้เพราะภาคเอกชนทำได้เก่งกว่า ขณะที่การซื้อหนี้โดยภาครัฐนั้น ยิ่งเวลาผ่านไปคนจะมีทัศนคติว่า รัฐจะมายกหนี้ให้ เช่นกรณีของภาคการเกษตร แง่ดีคือเกิดผลเร็วมาก แต่ท้ายสุดภาครัฐจะแบกรับหนี้ไปทั้งหมด เมื่อเวลาผ่านไปคนจะคุ้นชินและจะเกิดกรณีไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย แบบภาคการเกษตร หรือ กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่หลายคนก็ไม่ยอมจ่าย แม้ว่าจะมีฐานะดีขึ้น
นักวิชาการอาวุโส ทีดีอาร์ไอ กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญคือ หลักการให้ประเทศเดินหน้าไปต่อคือ มีหนี้ต้องจ่ายหนี้ ซึ่งการสร้างทัศนคติที่อันตราย ในการก่อหนี้แล้วไม่ใช้คืนเพราะคิดว่าภาครัฐจะซื้อหนี้ไป ซึ่งเคยเกิดปัญหามาแล้วกับภาคการเกษตรว่า มีหนี้ไปเรื่อย ๆ จนตาย เมื่อตายก็จะยุติหนี้ ขณะที่หนี้ภาคอื่น ๆ ใหญ่กว่ามาก และจะมีปัญหามากขึ้นหากสร้างทัศนคติแบบนี้