สร้างความหวั่นใจให้กับใครหลายๆ คน โดยเฉพาะเหล่าผู้นำประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศทั้งหลาย สำหรับ การเข้าสู่ทำเนียบขาวในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สมัยที่ 2 ของ “นายโดนัลด์ ทรัมป์”
โดยความหวาดหวั่นข้างต้น ก็เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายนปลายปีที่แล้ว ภายหลังจากที่รู้ว่า นายทรัมป์ มีชัยชนะเหนือนายโจ ไบเดน ในสังเวียนชิงชัยศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 ก่อนหน้าที่เขาจะประกอบพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 มกราคมต้นปีนี้ด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ เหล่าบรรดาผู้นำทั้งหลาย ก็กริ่งเกรงในเรื่องการดำเนินนโยบายต่างๆ ของนายทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ที่มีเป้าหมายให้สหรัฐฯ หวนทวงคืนความยิ่งใหญ่ให้กลับมาอีกครั้ง ซึ่งก็ต้องดำเนินนโยบายต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ จนส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง การสงครามสู้รบ รวมไปถึงเศรษฐกิจการค้า
และก็เป็นไปตามความหวั่นใจดังกล่าวกันจริงๆ ซึ่งผู้นำแต่ละประเทศ ต่างก็มียุทธวิธีในการรับมือกับการมาของประธานาธิบดีทรัมป์ที่แตกต่างกันไป ก็ส่งผลถึงผลลัพธ์ที่ตามมาจากการรับมือข้างต้น โดยมีทั้งบานปลายขยายวงของความขัดแย้งให้ลุกลามออกไปก็มี เช่น กรณีที่ต่างฝ่ายต่างใช้ยุทธการทางกำแพงภาษี มาเป็นอาวุธห้ำหั่นในทางการค้าระหว่างกัน
ทั้งนี้ เมื่อกล่าวผู้นำที่สามารถจัดการประธานาธิบดีทรัมป์ได้แบบอยู่มือ แทบจะไม่มีเรื่องมีราวความขัดแย้งให้ลุกลามบานออกไปนั้น ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อว่า เป็น “ผู้นำหญิง” ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง แบบรั้วกำแพงติดกันกับสหรัฐฯ กันเลยก็ว่าได้ นั่นคือ “ประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบาม ผู้นำหญิงแห่งประเทศเม็กซิโก” นั่นเอง
โดยประธานาธิบดีเชนบามผู้นี้ ยังถือได้ว่า เป็นผู้นำหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศเม็กซิโกอีกต่างหากด้วย ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง และประกอบพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีเม็กซิโก เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2024 (พ.ศ. 2567) หรือราว 1 เดือนกว่าๆ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ทราบผลออกมาว่า นายทรัมป์ชนะเลือกตั้ง
กล่าวกันว่า ประธานาธิบดีหญิงเชนบาม ได้พิจารณาถึงแผนการต่างๆ สำหรับเตรียมการรับมือกับการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายทรัมป์ ทันทีที่ทราบผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนปลายปีที่แล้วกันเลยทีเดียว
ทั้งนี้ ก็เพราะทั้งจากการประเมินของประธานาธิบดีหญิงเชนบามเอง ตลอดจนทีมงานของเธอ รวมถึงบรรดานักวิเคราะห์ ที่ออกมาแสดงทรรศนะแจ้งเตือนก่อนหน้านั้น หากนายทรัมป์ ชนะเลือกตั้งได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ประเทศที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็คงจะไม่พ้น “เม็กซิโก” ประเทศเพื่อนบ้านทางใต้ของสหรัฐฯ เป็นแน่ จากการประธานาธิบดีทรัมป์ มีนโยบายหลายประการที่จะสร้างผลกระทบต่อเม็กซิโกสารพัด
ไม่ว่าจะเป็นนโยบายจัดการปัญหาผู้อพยพเข้าเมือง ซึ่งชาวเม็กซิโก ถือเป็นผู้อพยพเข้าไปในสหรัฐฯ มากที่สุด นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ยังมีนโยบายใช้กำแพงภาษีกับเม็กซิโก ซึ่งนโยบายต่างๆ เหล่านี้ ทางประธานาธิบดีทรัมป์ จะใช้เรื่องปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด “เฟนทานิล” เป็นเครื่องมือ หรืออาวุธสำหรับการกดดันเม็กซิโก เป็นต้น
โดยประธานาธิบดีหญิงเชนบาม ใช้ทั้ง “ความใจเย็น” และ “ความชาญฉลาด” ในการรับมือกับประธานาธิบดีทรัมป์ แทนที่จะใช้การตอบโต้ด้วยวิธีการแข็งกร้าว เหมือนกับที่หลายๆ ประเทศ เผชิญหน้ากับประธานาธิบดีทรัมป์
ทั้งนี้ ในความใจเย็นของประธานาธิบดีหญิงเชนบามนั้น ต้องนับว่าผู้นำหญิงแห่งเม็กซิโกรายนี้ ต้องใช้ความสุขุมและอดทนเป็นอย่างมาก เพราะแทนที่จะเป็นการประจันหน้า ก็กลับกลายเป็นการทำงานร่วมกับประธานาธิบดีทรัมป์กันไปเสียเลย ในประเด็นต่างๆ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการกดดันเม็กซิโก
อาทิเช่น การปราบปรามขบวนการค้ายาเฟนทานิล ที่ทางการสหรัฐฯ ตีตราให้เป็นยาเสพติด โดยมีรายงานว่า ทางการเม็กซิโก ภายใต้การนำของประธานาธิบดีหญิงเชนบาม ทวีความเข้มข้นมากขึ้นในการปราบปรามขบวนการค้ายาเฟนทานิลนี้ จนสามารถจับกุมและยึดยาแก้ปวดที่ถูกใช้เป็นยาเสพติดชนิดนี้ได้หลายสิบตัน เพียงชั่วระยะเวลาไม่กี่วัน
นอกจากปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดอย่างชนิดเข้มข้นมากขึ้นแบบไม่เคยเป็นมาก่อนแล้ว ทางการเม็กซิโกของประธานาธิบดีหญิงเชนบาม ยังได้มีปฏิบัติการจับกุมอาชญากร พร้อมกับส่งตัวบรรดาอาชญากรวายร้ายที่ผู้ต้องสงสัยที่สหรัฐฯ หมายหัวเอาไว้ให้สหรัฐฯ ดำเนินการจำนวนเกือบ 30 ราย ซึ่งกรณีนี้แม้จะถูกติติงจากเหล่านักกฎหมายว่า ละเมิดต่อกฎหมายของเม็กซิโก แต่ก็สร้างความพึงพอใจให้แก่ทางการสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์มิใช่น้อย
ใช่แต่เท่านั้น รัฐบาลเม็กซิโกของประธานาธิบดีหญิงเชนบาม ยังได้จัดส่งกำลังพลทหารของทางกองทัพ ตลอดจนหน่วยพิทักษ์ตระเวนชายแดนจำนวนนับหมื่นนาย เข้าไปประจำการตามตะเข็มชายแดนระหว่างประเทศเม็กซิโกกับสหรัฐฯ เพื่อช่วยสกัดกั้นการอพยพของชาวเม็กซิโกที่ลักลอบเข้าไปในสหรัฐฯ อีกต่างหากด้วย
สร้างความพึงพอใจให้ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นอย่างมาก จนถึงขั้นประธานาธิบดีทรัมป์ ต้องสั่งให้ระงับแผนขึ้นภาษีสินค้าบางรายการ โดยเอ่ยอ้างด้วยความชื่นชมต่อผู้นำหญิงเม็กซิโกรายนี้ว่า เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ประธานาธิบดีเชนบาม
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์เม็กซิโก ยังได้ทำให้สหรัฐฯ ตระหนักถึงความสำคัญของเม็กซิโกที่มีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในฐานะฐานการผลิตสินค้าที่สำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งถ้าหากสหรัฐฯ ต้องการฟื้นขีดความสามารถทางการแข่งขันและเสริมสร้างอุตสาหกรรม ก็จำเป็นต้องมีเม็กซิโกยืนเคียงข้างสหรัฐฯ ด้วย