“นายกฯ” นัดดินเนอร์ “หัวหน้าพรรคร่วม” รับมือศึกซักฟอก 21 มี.ค.นี้ “นิด้าโพล” เผย “ปชช.” เชื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจล้ม “รัฐบาล” ไม่ได้ ระบุ 37.48% หนุน “ฝ่ายค้าน” ยึดญัตติเดิม ไม่ถอดชื่อ “ทักษิณ” คนรอฟัง “อิ๊งค์-เท้ง-บิ๊กป้อม” มากสุด ส่วน “สว.”เมิน “ดีเอสไอ” เรียก 7 พันชื่อสอบเส้นเงิน ปมฮั้วเลือกสว.
เมื่อวันที่ 16 มี.ค.68 นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเปิดเผยว่า ในวันศุกร์ที่ 21 มี.ค.นี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้นัดพรรคร่วมรัฐบาล รับประทานอาหารค่ำก่อนการอภิปรายจะเริ่มขึ้น เนื่องจากการรับประทานอาหารร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมาได้มีการหารือกันว่าเมื่อกำหนดวันอภิปรายฯชัดเจนแล้ว โดยรอบนี้ส่วนตัวไม่แน่ใจว่าพรรครวมไทยสร้างชาติจะเป็นเจ้าภาพหรือไม่ ส่วนสถานจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ทั้งนี้การหารือในวันนั้นจะเป็นเรื่องการรับมือการอภิปรายฯของฝ่ายค้าน
เมื่อถามว่ารัฐบาลมีข้อกังวลใดๆ หรือไม่ในขณะนี้ นายสรวงศ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีพร้อมที่จะตอบทุกๆคำถามอยู่แล้ว และพร้อมที่จะชี้แจง อย่างไรก็ตามทุกคนจะน่าจะรู้กันดีอยู่ว่าถ้าลงลึกถึงรายละเอียดก็ต้องมีรัฐมนตรีที่กำกับดูแลเป็นผู้ให้ข้อมูล เพื่อให้เกิดความชัดเจนและประชาชนจะได้เข้าใจด้วย
เมื่อถามว่าฝ่ายค้านจะไม่มีการระบุชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีแล้วโดยจะมีการเปลี่ยนเป็นคำอื่น แทน นายสรวงศ์ กล่าวว่า ก็ไม่มีอะไร จริงๆแล้วเรื่องการพูดถึงหรือการอภิปรายบุคคลภายนอกเป็นความรับผิดชอบของผู้อภิปรายอยู่แล้ว แต่กรณีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรมีการท้วงติงการใส่ชื่อลงไปในญัตติ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน และไม่ได้เปิดโอกาสให้ใส่ชื่อคนนั้นเข้าไป
"ดังนั้นต้องทำความเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญตามมาตรา 151 การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลแค่นั้น ไม่ได้พูดถึงตัวบุคคลภายนอกสามารถใส่ชื่อเข้าไปได้ นั่นคือประเด็น แต่เมื่อเรื่องนี้ที่จบก็ถือว่าจบ" นายสรวงศ์ กล่าว
นายสรวงศ์ กล่าวว่า ส่วนกรอบการอภิปรายจะใช้เวลากี่ชั่วโมง ก็ต้องมีการพูดคุยกันอีกครั้ง ส่วนจะได้ข้อสรุปการหารือในวันที่ 19 มี.ค.คงต้องคุยให้จบ เพราะจริงๆแล้วสิ่งที่ฝ่ายค้านทำมาตรงนี้ คือการตั้งธง อย่างเช่น ตอนแรกจะเอาวันอภิปราย 5 วัน พูดเองเออเองหมด โดยไม่ได้มีการพูดถึงว่าจะต้องมีการพูดคุยกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยตลอด หรือฝ่ายค้านจะขออภิปราย 30 ชั่วโมง ซึ่งทางรัฐบาลขอว่า ฝ่ายค้าน 20 ชั่วโมง รัฐบาล 10 ชั่วโมงได้ไหมก็ไม่ยอม สุดท้ายประธานวิปรัฐบาลเสนอไปฝ่ายค้านอภิปราย 23 ชั่วโมง รัฐบาล 7 ชั่วโมง ตอนนี้ก็ยังไม่ยอมแต่เราก็ต้องยืนอยู่ตรงนี้ ไม่งั้นมันก็จะเป็นการอภิปรายที่ยืดเยื้อ และมุมมองส่วนตัวมองว่าเยอะเกินไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การนัดรับประทานอาหารค่ำของพรรคร่วมรัฐบาลครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี จะร่วมทานข้าวกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น ถือเป็นวงเล็ก และเป็นนัดพิเศษก่อนรับมืออภิปราย โดยพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นเจ้าภาพ และวางสถานที่ไว้ที่โรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ
ด้าน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการเจรจากรอบเวลาการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีกับพรรคฝ่ายค้าน ที่ยังไม่สามารถตกลงกรอบเวลากันได้ ว่า รัฐบาลใจกว้างและยอมถอยสุดๆแล้ว เหลือแต่ฝ่ายค้าน ที่ยังไม่ยอมถอย ถ้าตกลงกันได้การอภิปรายก็สามารถเดินหน้าได้ แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้การกำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจอาจล่าช้า หรืออาจไม่ทันสมัยประชุมนี้ที่จะปิดสมัยประชุมในวันที่ 10 เม.ย.การที่ฝ่ายค้านเสนอกรอบเวลาอภิปรายเฉพาะฝ่ายค้านอย่างเดียว 30 ชั่วโมง ขอเวลาอภิปราย 3 วัน ไม่รวมลงมติอีก 1 วัน นั้น มากเกินไป ไม่สมเหตุสมผล รัฐบาลเสนอในกรอบเวลา 30 ชั่วโมง ให้เป็นของฝ่ายค้าน 20 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาล 10 ชั่วโมง ใช้เวลาอภิปราย 2 วัน ไม่รวมลงมติอีก 1 วัน ถ้าฝ่ายค้านยอมถอย การกำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจก็สามารถเดินหน้า หรือในกรอบเวลา 30 ชั่วโมง ให้เป็นของฝ่ายค้าน 23 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาล 7 ชั่วโมง ที่รัฐบาลถอยสุดๆแล้ว ถ้าฝ่ายค้านไม่ยอมถอยก็ไม่สามารถตกลงกันได้ เวลาบีบเข้ามาทุกขณะในสมัยประชุมนี้
"ถ้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ รัฐบาลไม่ได้เดือดร้อนจึงต้องถามฝ่ายค้านว่าแท้จริงแล้วมีข้อมูลเด็ดหรือมีความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลหรือไม่ รัฐบาลใจกว้างและถอยสุดๆแล้วอยู่ที่ฝ่ายค้านว่าจะยอมถอยหรือไม่ เก่งไม่กลัว กลัวช้า ฝ่ายค้านต้องรีบหาข้อสรุปเพื่อให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจได้เดินหน้า”
นายอนุสรณ์ ยังกล่าวถึงกรณี นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยคุณสมบัติของ สส.พรรคประชาชน ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าปี 2570 ต้องมีคุณสมบัติ "3 ไม่" คือ ไม่รับเงินทอน ไม่ทำงานการเมืองสืบสายเลือด และไม่ยอมจำนน ว่า ถือเป็นสิทธิของนายณัฐพงษ์ ที่จะประกาศคุณสมบัติของผู้สมัคร หรือประกาศแนวทางการคัดเลือกผู้สมัครในระดับใดของพรรคประชาชน ส่วนเมื่อประกาศแล้วจะทำได้ตามประกาศหรือไม่ประชาชนก็ต้องติดตาม แต่ต้องระวังว่า 3 ไม่ที่ว่าอาจจะไม่เกิด หากมีอีก 2 ไม่ คือ ไม่เป็นไปตามที่ประกาศ และไม่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ความจริงการไม่รับเงินทอน ไว้ว่าจะประกาศหรือไม่ประกาศ ถ้ารับเงินทอนก็ผิดกฎหมายอยู่แล้ว การทุจริตจากการรับสินบน หรือการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม ถือว่าผิดจริยธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องถูกดำเนินคดีตามกฏหมายอยู่แล้ว
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า นอกเหนือจากคุณสมบัติของผู้สมัครแล้วสิ่งที่ประชาชนอยากทราบคือแนวนโยบายที่ตอบโจทย์ปัญหาของประเทศ ของแต่ละพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้า มีอะไรบ้าง ประเทศชาติและประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรจากนโยบายนั้นประชาชนไม่ได้ตื่นเต้นกับการประกาศที่ดูเหมือนเท่ แต่ไม่รู้ว่า แปลว่าอะไรหรือ ทำได้จริงหรือไม่ แต่อยากรู้ว่านโยบายเพื่อการพัฒนาประเทศ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร
ด้าน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “จะได้อภิปรายแค่ไหน” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 11-13 มีนาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในสภา จากการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อความวุ่นวาย หากมีการประท้วงในสภาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 49.08 ระบุว่า จะมีความวุ่นวายบ้าง รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า จะไม่มีความวุ่นวายเลย และร้อยละ 24.66 ระบุว่า จะมีความวุ่นวายมาก
เมื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้ที่ระบุว่าจะมีความวุ่นวายมาก และจะมีความวุ่นวายบ้าง (จำนวน 966 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับความวุ่นวายในระหว่างการอภิปราย พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 55.38 ระบุว่า จะมีความวุ่นวาย แต่ประธานในที่ประชุมจะควบคุมสถานการณ์ได้ รองลงมา ร้อยละ 24.53 ระบุว่า จะมีความวุ่นวายมาก จนกระทั่งต้องมีการพักการประชุมบ่อยครั้ง ร้อยละ 23.29 ระบุว่า จะมีการประท้วงกันจนการอภิปรายไปต่อไม่ได้ ร้อยละ 21.74 ระบุว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พอใจ และประท้วงด้วยการเดินออกจากห้องประชุม (Walk Out) ร้อยละ 20.50 ระบุว่าจะมีความวุ่นวาย จนกระทั่งประธานไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ร้อยละ 20.39 ระบุว่า จะมีการใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย ไม่เหมาะสมในสภา ร้อยละ 13.25 ระบุว่า จะมีความวุ่นวายมาก จนกระทั่งมีการรวบรัดขอปิดการอภิปรายและลงมติเลย ร้อยละ 4.45 ระบุว่า จะมีการต่อยตีกันเหมือนการประชุมสภาในต่างประเทศ และร้อยละ 3.00 ระบุว่า จะมีการปลุกม็อบนอกสภา
ด้านความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับข้อมูลของฝ่ายค้านในการอภิปรายที่อาจนำไปสู่การล้มรัฐบาลได้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 66.79 ระบุว่า จะมีข้อมูลสำคัญในการอภิปราย แต่ไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ รองลงมา ร้อยละ 19.31 ระบุว่า จะไม่มีข้อมูลสำคัญในการอภิปราย และไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ ร้อยละ 11.30 ระบุว่า จะมีข้อมูลสำคัญในการอภิปราย จนถึงขั้นล้มรัฐบาลได้ และร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการตัดสินใจของฝ่ายค้านตามข้อเสนอของประธานสภาฯ ให้ถอนชื่อคุณทักษิณ ชินวัตร ออกจากญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 37.48 ระบุว่า ฝ่ายค้านควรยืนยันตามญัตติเดิม และรอจนกว่าประธานสภาฯ ยอมบรรจุในวาระการประชุม รองลงมา ร้อยละ 32.44 ระบุว่า ฝ่ายค้านควรทำตามข้อเสนอเพื่อจะได้เปิดอภิปรายได้ ร้อยละ 10.08 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ ร้อยละ 9.16 ระบุว่า ฝ่ายค้านควรขอถอนญัตติ และเลิกล้มที่จะอภิปราย ไม่ว่าจะเป็นในหรือนอกสภาฯ ร้อยละ 6.57 ระบุว่า ฝ่ายค้านควรยืนยันตามญัตติเดิม และออกไปอภิปรายนอกสภาแทน และร้อยละ 4.27 ระบุว่า ฝ่ายค้านควรขอถอนญัตติ และออกไปอภิปรายนอกสภาแทน
สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีจะเป็นไปตามกำหนดการเดิมหรือมีการเปลี่ยนแปลง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 54.73 ระบุว่า จะเป็นไปตามกำหนดเดิม รองลงมา ร้อยละ 38.32 ระบุว่า จะมีการเลื่อนออกไประยะหนึ่ง ร้อยละ 4.43 ระบุว่า จะไม่มีการอภิปรายเกิดขึ้น และร้อยละ 2.52 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงนักการเมืองที่ประชาชนสนใจจะฟังในการเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.99 ระบุว่าเป็น นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร รองลงมา ร้อยละ 34.35 ระบุว่าเป็นนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน และร้อยละ 11.83 ระบุว่าเป็น พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และไม่ตอบ/ไม่สนใจ ในสัดส่วนที่เท่ากัน
ขณะเดียวกัน "สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง "ปัญหาเร่งด่วนของคนไทย ณ วันนี้" กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,264 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 11-14 มีนาคม 2568 สรุปผลได้ ดังนี้ 1. "5 ปัญหาเร่งด่วน" ณ วันนี้ ที่ประชาชนอยากให้รัฐบาลแก้ไขมากที่สุดอันดับ 1 ค่าครองชีพ/ราคาสินค้า 72.55% อันดับ 2 รายได้/หนี้สิน 69.09% อันดับ 3 การเมือง 65.28%อันดับ 4 กระบวนการยุติธรรม 64.58% อันดับ 5 ปัญหาภาคการเกษตร 62.30%
2. ประชาชนคิดว่ารัฐบาลจะแก้ไข "ปัญหาเร่งด่วน" ได้สำเร็จหรือไม่ อันดับ ปัญหาเร่งด่วน ไม่น่าจะสำเร็จ น่าจะสำเร็จ 1 ค่าครองชีพ/ราคาสินค้า 68.80% 31.20% 2 รายได้/หนี้สิน 74.33% 25.67% 3 การเมือง 72.18% 27.82% 4 กระบวนการยุติธรรม 71.61% 28.39% 5 ปัญหาภาคการเกษตร 76.30% 23.70% 3. ปัญหาที่พบในช่วงรัฐบาลแพทองธาร เมื่อเปรียบเทียบกับรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ ประชาชนคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง อันดับ 1 ปัญหายังมีเหมือนเดิม ยังไม่เห็นการแก้ไขที่ชัดเจน เช่น ทุจริตคอร์รัปชัน การเมือง 43.75% อันดับ 2 หลายปัญหาแย่ลง กระทบต่อชีวิตประจำวันมากขึ้น เช่น ค่าครองชีพ หนี้สิน 29.19 อันดับ 3 หลายปัญหามีแนวโน้มดีขึ้น เช่น กระตุ้นการท่องเที่ยว ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 27.06%
4. ประชาชนคิดว่ามาตรการแจกเงิน 10,000 บาท ในกลุ่มวัยรุ่นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้มากน้อยเพียงใด อันดับ 1 พอจะช่วยได้บ้าง อาจกระตุ้นในช่วงสั้น ๆ แต่ไม่ส่งผลระยะยาว 34.18% อันดับ 2 ช่วยได้เล็กน้อย วัยรุ่นอาจใช้เงินกับสินค้าและบริการเฉพาะกลุ่ม 28.80% อันดับ 3 ไม่ช่วยเลย ไม่ได้แก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครง