เปิดคำพิพากษาศาลฎีกา ปิดทาง “มาดามแป้ง” ฟ้องไล่เบี้ย “สมยศ”

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 ภายหลังสภากรรมการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีมติอนุมัติการฟ้องไล่เบี้ย อดีตนายกสมาคมฯ และ ผู้บริหารชุดเดิม จากคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีระหว่าง บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ฟ้อง สมาคมฯ ซึ่งศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษา ออกมาเรียบร้อย เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 ให้ สมาคมฯ จ่ายค่าเสียหายให้แก่ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) จำนวน 360 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

แหล่งข่าวผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแพ่ง เปิดเผยว่า จากการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 5053 – 5054 / 2567 ซึ่งระบุถึงผู้รับผิดในคดี ศาลฎีกามีข้อวินิจฉัยไว้แล้ว โอกาสที่สมาคมจะฟ้องไล่เบี้ยจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตนายกสมาคมฯ และสภากรรมการ แทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะในคำพิพากษาศาลฎีการะบุไว้ชัดว่า “โจทก์คือบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด ( มหาชน ) ได้ฎีกาในประเด็นว่าให้ จำเลยที่ 2 -19 ( พล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการ ) ร่วมรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 19 ในฐานะกรรมการของจำเลยที่ 1 และส่วนตัวต้องร่วมรับผิดด้วย ซึ่งปัญหานี้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า การลงมติของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 19 เป็นการกระทำในขอบอำนาจหน้าที่ ทั้งไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 19 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 87 กำหนดว่า คณะกรรมการของสมาคมเป็นผู้แทนของสมาคมในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 19 ซึ่งเป็นคณะกรรมการของจำเลยที่ 1 อันเป็นนิติบุคคลในรูปแบบของสมาคม ได้ดำเนินการในคดีนี้ในฐานะส่วนตัวด้วย จำเลยที่ 2 ถึงที่ 19 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้น” 

แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า จากคำพิพากษานี้เท่ากับว่าโจทก์หรือสยามสปอร์ต ขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็นการรับผิด ในส่วนอดีตนายกสมาคมฯและสภากรรมการเป็นการเฉพาะ และศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วว่าไม่ต้องรับผิด ดังนั้นการที่สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จะไปฟ้องไล่เบี้ยให้รับผิดอีกก็ขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลฎีกา

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแพ่ง กล่าวด้วยว่า ในการฟ้องไล่เบี้ยกับผู้ใดได้จำเลยต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จนครบเสียก่อน