แม้ โฆษกกระทรวงกลาโหม และโฆษกกองทัพบก จะออกมาแถลงยืนยันว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เป็นแค่ การลดอุณหภูมิ ไม่เพิ่มความขัดแย้ง และไม่ต้องการให้ตื่นตระหนก เท่านั้น
ทั้งเหตุ ศาลาสันติภาพ ศาลาตรีมุข ศาลารวมใจพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ไทย-ลาว-กัมพูชา ถูกเพลิงไม้ จากเหตุไฟไหม้ชุมชนแล้ว ลามไหม้มาถึงศาลา จนเสียหาย
ทั้งเหตุ ทหารกัมพูชา ตัดลวดหนามกั้นพื้นที่ที่ทหารไทยล้อมไว้ แต่ฝ่ายไทย ก็อ้างว่า ของเก่า ดินถล่ม ทหารเขมร จึงมาช่วยซ่อมให้
ทั้งเหตุ ทหารกัมพูชา ล้มเสาธงชาติไทย ถอดเอาธงชาติออก ที่ฝ่ายไทย บอกว่าเป็นคลิปเก่า
แต่ทว่า ในข้อเท็จจริง แล้ว ทุกอย่างเป็นยุทธวิธีทางทหาร ของ ทหารกัมพูชา
ศาลาสันติภาพ หรือ ศาลาตรีมุข ที่สร้างขึัน เป็นที่ระลึกถึง “บิ๊กตุ๋ย” พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี ต้นเป็น แม่ทัพภาค 2 เป็นสัญลักษณ์ ของการสงบศึก ยุตืการสู้รบ และ ไว้เป็น ที่พบปะกันของทหาร 3 ชาติ มากว่า 30 ปี
เคยมีข่าวว่า “บิ๊กอ๊อบ” พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.ทหารสูงสุด ต้องการที่จะไปเยี่ยมชม ศาลานี้ เพื่อรำลึกถึงบิดา และ ตรวจเยี่ยมกำลังพล ศูนย์ปฏิบัตืการทุ่นระเบิดแห่งชาติ TMAC ที่เก็บกู้ทุ่นระเบิดอยู่ในพื้นที่ชายแดนไทบ-กัมพูชา ในหลายพื้นที่ แต่ ไปเยือน บนเนิน 500 เท่านั้น ไม่ได้เข้าไปที่ ศาลา
เพราะ พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต นี้ ยังไม่ปลอดภัย 100% เพราะยังมีกับระเบิด ทุ่นระเบิด ของเก่า สมัยสู้รบ ค้างอยู่ หรือ อาจมี ทุ่นระเบิดวางใหม่ เพราะแม้จะเป็นพื้นที่ โนแมน‘ส์ แลนด์ แต่ทว่า ทหารกัมพูชา ได้รุกเข้ามายึดพื้นที่ และศาลานั้นแล้ว โดยไม่มีใครรู้ว่าเมื่อใด
ศาลาตรีมุข ที่ไหม้นี้ เกิดขึ้น หลัง ผู้นำทหารเขมร มาตรวจเยี่ยมในพื้นที่ และ คืน 28 ก.พ. 2568 ก็เกิดเพลิงไหม้ และในวันรุ่งขึ้น 1 มีค.2568 จึงมีข่าวที่ชายแดนว่า ไฟไหม้ศาลาตรีมุข และพบว่า มีร่องรอยของการถูกทุบทำลาย ไม่ใช่การพัง เพราะการถูกไฟไหม้
แต่ในทางทหาร พบว่า ก่อนหน้านี้ ตอนทหารกัมพูชา เข้ามายึดพื้นที่ ได้ เอาพระพุทธรูป 3 ชาติ ที่นำมาประดิษฐานไว้ เพื่อให้ ทหารและประชาชน 3 ชาติ มากราบไหว้สักการะ ออกไป
การเผาทำลายศาลานี้ จึงถูกมองว่า เป็นอีก ก้าวหนึ่งของ ทหารกัมพูชา ในการยึดพื้นที่ และ เกิดขึ้น หลังจาก มีการ ตัดลวดหนาม และเอาเสาธงชาติไทย ลง ล้วนเกิดในพื้นที่ แนว เขาสัตตะโสม ประสาทโดนตรวล ที่ทหารเขมร พยายามจะยึดคืนจากไทย
เหตุเผาศาลาตรีมุขนี้ เกิดขึ้น หลังจากเกิดเหตุการณฺ์ ทหารไทย ห้ามไม่ให้ แม่บ้านทหารกัมพูชา ร้องเพลงบนปราสาทตาเมือนธม จนเกิดความไม่พอของฝ่ายทหารเขมร และ ทำให้ พล.ต.เนี๊ยะ วงษ์ ผบ.หน่วยทหารเขมร ที่คุมพื้นที่ อยู่ ตำหนิต่อว่า ท้าทาย ทหารไทย จนมีการแชร์คลิปกันอย่างแพร่หลาย
จนเกิดสงครามสู้รบกันในโซเชี่ยลฯของไทย และกัมพูชา ในการชื่นชม ฝ่ายตน จนเกิดความขัดแย้ง จนที่สุด ต้องมีการเคลียร์ใจ กัน โดย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค3 และ พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผบ.กองกำลังสุรนารี ไปพบ พล.ต. เนี้ยะ วงษ์ ที่ปราสาทตาเมือนธม
แต่ตามมาด้วย โซเชียลฯเขมร ที่เคย ชู พล.ต. เนี้ยะวงษ์ เป็นฮีโร่ ที่กล้าเถียงกับทหารไทย กลับแสดงความไม่พอใจ ที่ ฝ่ายทหารไทย แสดงท่าที เสมือนข่ม ฝ่ายทหารเขมร ให้ระลึกถึงการสู้รบ ในปี 2554
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ปราสาทตาเมือนธม ตั้งแต่ กลาง กพ.2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ โซเชียลฯเขมร ฝ่านค้านเขมร โจมตี ไปถึง พล.อ. ฮุนมาเน็ต นายกฯกัมพูชา ที่ยอมฝ่ายไทย และเรียกร้องให้ ทวงคืน ปราสาทตาเมือนธม และตาควาย ที่ทหารไทยยึดอยู่
ส่งผลให้ พล.อ. ฮุนมาเน็ต ต้องโพสต์เฟสบุ๊ก หลายโพสต์ ชี้แจง และยืนยันว่า ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย เป็นของเขมร และ โพสต์ภาพ การเจรจาสงบศึกไทย-เขมร ในปี2554 พร้อมชี้ว่า เป็นบทเรียน ของไทยและกัมพูชา ว่า การสู้รบเกิดจาก นักการเมือง และ การรุกดินแดนกัมพูชา พร้อมตบท้ายว่า อย่าให้เกิดอีกครั้ง เสมือนเป็นการส่งสัญญาณ ว่า เขมร ก็ไม่ได้กลัวการสู้รบกับไทย
อีกครั้ง เมื่อครั้งที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เคยให้สัมภาษณ์ว่าได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับรัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชาที่แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ประสาทตาเมือนธม แต่มีสื่อออนไลน์ภาษาอังกฤษของไทยไปลงข่าวผิดว่านายกฯของกัมพูชาขอโทษ ส่งผลให้พล.อ. ฮุนมาเน็ต ไม่พอใจอย่างมาก และให้เลขาฯติดต่อมายังนายภูมิธรรมและขอให้แก้ข่าว โดยทันทีภายใน 1 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นจะออกแถลงข่าวตอบโต้ด้วยตนเอง จนทำให้ทีมโฆษกกลาโหม ต้องรีบแก้ข่าวเนื่องจากว่า นายภูมิธรรม ไม่ได้ให้สัมภาษณ์เช่นนั้น แต่เป็นความเข้าใจผิดพลาดของสื่อเอง แต่ก็สะท้อนว่า ฝ่ายไทยก็เร่งในการแก้ข่าวทันทีเพราะเป็นประเด็นอ่อนไหว
ตามมาด้วย พล.อ. เตีย เซรย ฮา รมว.กลาโหม กัมพูชา ตรวจพื้นที่ชายแดน พร้อมนำเสบียง มามอบให้กำลังพล และได้มาไหว้รูปปั้น ที่ ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย ที่ฝ่ายทหารไทย ก็ต้องมาพบ ที่กลางปราสาท เพื่อยืนยันอาณาเขต แต่การที่ รมว กลาโหม เขมร มาในพื้นที่ เพิ่มเสมือนการตรวจความพร้อมรบ
ในขณะที่ แม่ทัพภาค2 ก็เดินสายตรวจความพร้อมรบ ของหลายหน่วย พร้อมกำชับให้พร้อมเคลื่อนย้ายทันที ที่มีคำสั่ง พร้อมมีรายงานว่า “บิ๊กปู” พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. สั่งการให้ทุกหน่วยเตรียมพร้อม ทั้งปืนใหญ่ รถถัง และกำลังทหารราบ และหน่วยสนับสนุน
ด้วยเพราะฉากทัศน์ หากมีการสู้รบ จะแตกต่างจาก เมื่อปี 2554 เพราะ กองทัพกัมพูชา มีการพัฒนาอาวุธยุทโปกรณ์ ที่ทันสมัย มากขึ้น
สถานการณ์ทั้งหมดนี้ถูกปิดข่าวเงียบเป็นเรื่องราวหลังจากที่นายภูมิธรรม คำสั่งให้กองทัพงดให้ข่าวในเรื่องเหล่านี้ ขณะที่โฆษกทบ.และโฆษกกลาโหมก็พยายามที่จะลดกระแสข่าวลือต่างๆเพื่อไม่ให้ความขัดแย้งเพิ่มอุณหภูมิ สูงขึ้น
โดย ภูมิธรรม รับที่จะนำปัญหาต่างๆเหล่านี้ไปเจรจากับฝ่ายกัมพูชาในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทยกัมพูชาหรือประชุม GBC ใน 17 มีนาคมนี้
โดยมีการวิเคราะห์กันในฝ่ายความมั่นคงว่าฝ่ายกัมพูชาพยายามที่จะยั่วยุ ด้วยการตัดลวดหนาม การเอาธงชาติไทยลงและอีกหลายอย่างที่ไม่เป็นข่าวเพื่อต้องการให้ฝ่ายทหารไทยเริ่มก่อน และเกิดการสู้รบ แล้วกัมพูชาก็จะยื่นต่อศาลโลก เรียกร้องความเป็นเจ้าของปราสาทตามเมือนธม และปราสาทตาควาย ที่ทหารไทยยึดครองอยู่ตั้งแต่ปี 2554 คืน
ฝ่ายทหารไทยในฐานะที่เป็นประเทศใหญ่กว่ากลับเป็นฝ่ายที่ต้องอดทนและไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากมองดูการยั่วยุที่เกิดขึ้น ปัญหาชายแดนระหว่างไทยกัมพูชาจึงเป็นอีกความท้าทายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของแพรทองธารชินวัตรนายกรัฐมนตรีและนายภูมิธรรม ที่คุมความมั่นคงและกลาโหม
แต่สำคัญที่สุดคือ อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับ อดีตนายกรัฐมนตรี สมเด็จฮุนเซน หรือแม้แต่พล.อ. ฮุนมาเน็ต นายกรัฐมนตรีปัจจุบันของกัมพูชา ก็ตาม
แต่จะสามารถหาทางออกเรื่องนี้ได้อย่างไร ในเมื่อกัมพูชาก็ยังคงยืนกรานความเป็นเจ้าของ โดย ยึดถือแผนที่ของตนเอง เป็นหลัก และฝ่ายไทยเอง ก็มีแผนที่อีกฉบับหนึ่ง และ ก็ไม่มีวันยอมที่จะเสียดินแดนไปแม้แต่ ตารางนิ้วเดียว