สภาเดือด! “ประธานสภา” ทะปะคารม “ผู้นำฝ่ายค้าน” ปมตัดชื่อ “ทักษิณ’” ออกจาก “ญัตติ” ศึกอภิปรายฯ ด้าน “วันนอร์” ยืนกราน อภิปรายลามคนนอกไม่ได้ ส่วน “วิโรจน์” แนะทำหนังสือถึง “นายกฯอิ๊งค์” ให้ “พ่อ”เข้าชี้แจงด้วยได้สะพัด! “ฝ่ายค้าน” ยอมแก้ญัตติซักฟอก ตัดชื่อ “ทักษิณ” ออก เหลือคำว่า “พ่อ” ขอจ้อ 2 วัน “โรม” ท้า “ทักษิณ” พูดแฟร์ๆเป็นบุคคลสาธารณะ สามารถตรวจสอบได้ ลิ่วล้อจะได้ไม่ต้องใช้เวทีซักฟอกมาปกป้อง “ภูมิธรรม” บอก ดีแล้ว หลังฝ่ายค้านแก้ญัตติ ชี้ ถ้าข้อมูลมาก ให้ซักฟอก 2 วันก็ได้ ถ้าสร้างสรรค์

เมื่อเวลา 10.40 น.วันที่ 13 มี.ค.68 ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในการประชุม ซึ่งก่อนเข้าสู่วาระการประชุมนายณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน และในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ได้ลุกขึ้นหารือเรื่องการบรรจุญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ตามหนังสือที่ประธานได้ตอบกลับมาถึงตน เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา และเป็นหนังสือด่วนที่สุด จึงขอความชัดเจนอย่างแรกว่า หนังสือฉบับนี้ทุกถ้อยคำในหนังสือเป็นการใช้อำนาจของประธานฯและพร้อมที่จะรับผิดรับผิดชอบต่อทุกข้อสงสัยและทุกการตอบในหนังสือฉบับนี้ใช่หรือไม่

โดยนายวันมูหะมัดนอร์ ชี้แจงว่า ตนมีหน้าที่และต้องรับผิดชอบ ยินดีรับผิดชอบทุกอย่างถ้าเป็นการถามที่เกิดขึ้นจากเลขาธิการฯ เพราะตนได้ดำเนินการตามหน้าที่และเลขาธิการฯ ก็ตอบตามที่หนังสือของนายณัฐพงษ์โต้แย้งมา

จากนั้นนายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า อยากได้ความชัดเจนเรื่องที่หนังสือฉบับนี้ตอบมาว่า คำว่าข้อบกพร่อง ประธานได้วินิจฉัยแล้วว่า ท่านมีอำนาจในการที่จะชี้ข้อบกพร่องในเชิงเนื้อหา แต่ขณะเดียวกันคำตอบของท่านในหน้าถัดไป ท่านบอกว่าท่านยินดีจะให้แก้คำในญัตติเนื่องจากการแก้คำนั้นไม่ได้กระทบสาระสำคัญในญัตติ ซึ่งถ้าตนอยากจะเดินหน้าต่อสมมุติว่าพวกตนยอมปรับคำตามที่ประธานได้นำเสนอ เนื้อหาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สมมุติถึงวันในการอภิปรายจริง ตนมีสิทธิ์เต็มที่ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญในการอภิปรายเนื้อหาตามกรอบในญัตติโดยที่พวกตนจะไม่ถูกเบรกหรือระงับโดยประธานใช่หรือไม่

นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ยืนยันว่าถ้าท่านได้อภิปรายตามญัตติ ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญและข้อบังคับท่านก็สามารถอภิปรายได้เต็มที่ไม่มีใครขัดขวางทานได้ยกเว้นว่าท่านอภิปรายผิดข้อบังคับก็อาจจะมีผู้โต้แย้ง ผู้เป็นประธานในที่ประชุมก็ต้องพิจารณาและให้ความเป็นธรรมตรงไปตรงมาตามข้อบังคับเราอยากจะให้การประชุมของสภาฯแห่งนี้ได้ดำเนินไปได้ด้วยดีเพราะไม่ใช่แต่พวกเราเท่านั้น พี่น้องประชาชนทั่วประเทศเขาก็อยากฟังแต่ไม่ใช่อยากฟังการประท้วงโต้ตอบไปมาจนกระทั่งสารัตถะของการประชุมที่ท่านต้องการและประชาชนอยากฟังนั้นมันขลุกขลัก

“นี่คือสิ่งที่ผมปรารถนาสุดยอดคือการประชุมโดยที่มีเหตุมีผลตามที่ต้องการและไม่มีผู้ใดที่จะคอยประท้วงทำให้การประชุมดำเนินไปไม่ได้ดี เพราะในที่สุดประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินในเรื่องสารัตถะ ในเรื่องการดำเนินการประชุมที่จะไปด้วยดี ผมเรียนด้วยความเคารพ” ประธานสภาฯ กล่าว

จากนั้นนายณัฐพงศ์ กล่าวอีกว่า ประการหนึ่งที่อยากจะได้ความชัดเจนเช่นเดียวกัน ประธานยืนยันว่าถ้าตนไม่ทำผิดตามข้อบังคับก็ไม่น่ามีประเด็นอะไรซึ่งตามข้อบังคับระบุไว้ชัดเจนว่าพวกเราสามารถอภิปรายกล่าวถึงชื่อบุคคลภายนอกได้หากไม่ได้ทางความเสียหายหรือถ้าสร้างความเสียหายผู้อภิปรายเป็นผู้รับผิดชอบเอง ซึ่งจากการให้ข่าวที่ผ่านมาของประธานฯระบุไว้อย่างชัดเจนว่าที่ประธานฯไม่สามารถให้พวกตนระบุชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ลงไปในญัตติได้ เพราะท่านประธานฯเสี่ยงที่จะเป็นคนที่ถูกฟ้องร้องเอง ดังนั้นถ้าวันนี้พวกตน ปรับคำไหนในญัตติหมายความว่าพวกตนยังสามารถเดินหน้าการอภิปรายต่อ และพูดชื่อบุคคลใดใดก็ได้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยที่พวกตนเป็นผู้รับผิดชอบเอง อย่างนี้ประธานฯยืนยันตามหลักฐานตามหลักการหรือไม่

ประธานสภาฯ ชี้แจงว่า ตามที่ผู้นำฝ่ายค้านฯบอกว่าจะเอ่ยชื่อบุคคลใดก็ได้ โดยที่ท่านจะรับผิดชอบเอง ตนคิดว่าเป็นประเด็นของที่ประชุมนี้ ไม่ได้หมายความว่าผู้พูดจะรับผิดชอบเพียงผู้เดียวเท่านั้น ถ้าไม่เป็นไปตามข้อบังคับ ประธานที่ประชุม ซึ่งมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยก็จะถูกตำหนิ และเดินหน้าต่อไปไม่ได้ แต่ตนก็ยินดีถ้าหากท่านไม่เอ่ยชื่อบุคคลภายนอกซึ่งบุคคลภายนอก ตนพูดตรงๆว่าไม่ได้หมายความถึงนายทักษิณ จะเป็นผู้อื่นหรือใครก็ถือว่าเป็นบุคคลภายนอกซึ่งไม่สามารถที่จะดำเนินการอภิปรายได้

“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ซึ่งระบุชัดเจนว่าการยื่นญัตติเป็นการอภิปรายคณะรัฐมนตรีทั้งคณะหรือเป็นรายบุคคลท่านสามารถจะระบุรายชื่อรัฐมนตรีทั้งคณะหรือเป็นรายบุคคลได้ แต่ถ้าในญัตติใส่ชื่อบุคคลภายนอกเข้าไปด้วย ท่านคงทราบว่าจะดำเนินการประชุมได้หรือไม่ เพราะเมื่อช่วงท่านอภิปรายเกี่ยวโยงอย่างไรท่านก็สามารถจะพูดได้ บางครั้งการพูดอาจไม่ต้องใช้ชื่อ ท่านจะใช้อย่างอื่นคนก็รู้ได้ คนประท้วงก็ประท้วงไม่ได้ไม่ได้เชิงผมแนะนำ แต่อยากให้ไปด้วยดี ไม่ได้บอกว่ามีชื่อนายทักษิณไม่ได้แต่บุคคลภายนอกเป็นคนอื่นถ้าเอามาใส่ในญัตตินี้ก็คงจะกระทำไม่ได้เช่นเดียวกัน” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่พวกตนต้องการ สิทธิการประท้วง เป็นสิทธิอยู่แล้วถ้ามีการเอ่ยชื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่สมาชิกอีกฝั่งหนึ่งไม่เห็นด้วยเขามีสิทธิ์ประท้วงแต่สิ่งที่พวกตนไม่อยากเห็นคือบรรยากาศในที่ประชุมที่ประธานฯอาจจะไม่ได้วางตัวเป็นกลางหรือไม่ได้เป็นไปตามข้อบังคับ เพราะหนังสือที่ประธานฯ ตอบกลับตนมาหน้าที่ 3 เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าการอภิปรายของสมาชิกผู้แทนราษฎรผู้ใดที่อาจเป็นเหตุให้บุคคลอื่น ซึ่งมิใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับความเสียหายสมาชิกผู้นั้นต้องเป็นผู้รับผิดชอบผลแห่งการกระทำนั้นเองดังนั้นวันนี้ตนอยากได้ความชัดเจนจากประธานฯ เพราะการบรรจุหรือไม่บรรจุญัตติอยู่ที่ถ้อยคำในญัตติ ซึ่งเป็นอำนาจของประธานฯ แต่เราตีความต่างกัน ตนยื่นยันว่าพวกเราเห็นว่าประธานฯไม่มีอำนาจวินิจฉัยในเรื่องของเนื้อหาสาระของญัตติ

“ถ้าวันนี้พวกผมจะยอมปรับถ้อยคำในญัตติ ผมอยากได้ความชัดเจนว่าถ้าในวันประชุมจริง ท่านประธานฯต้องยึดตามข้อบังคับว่า การอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลภายนอกกระทำได้ และพวกตนพร้อมที่จะเป็นผู้รับผิดรับชอบต่อการกระทำนั้นเองโดยที่ประธานจะไม่ใช้อำนาจของประธานในการขัดขวางการอภิปรายไม่ไว้วางใจ” นายณัฐพงษ์ กล่าว

นายวันมูหะมัดนอร์ ​ชี้แจงว่า ตนก็เคยใช้วาจาอย่างนี้ และเคยใช้ในสภาฯนี้ อาจจะคราวที่แล้ว โดยตนบอกจะรับผิดชอบเอง หากเอ่ยชื่อบุคคลภายนอกถ้าเขาฟ้อง แต่ประธานก็บอกว่าไม่ได้เพราะพูดในสภาฯ ประธานที่ประชุมต้องรับผิดชอบในเรื่องกติกา และข้อบังคับ แต่ไม่ได้รับผิดชอบในเรื่องที่เขาจะฟ้องใคร ถ้าประธานปล่อยให้มีการประท้วงโดยที่ผู้พูดและผู้ประท้วงบอกว่ารับผิดชอบแล้วประธานมาทำหน้าที่อะไร ทั้งที่มีหน้าที่ในการรักษาความเรียบร้อยในที่ประชุมซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับเพราะฉะนั้นขอความกรุณา แต่ถ้าท่านพูดไปแล้วไม่มีคนประท้วงประธานก็อาจจะปล่อยได้แต่ถ้ามีผู้ประท้วงประธานต้องวินิจฉัยข้อบังคับ จะมาบอกล่วงหน้าว่าประธานให้สัญญาได้หรือไม่ ว่าจะไม่ห้ามเมื่อพูดแล้วจะรับผิดชอบเองถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวนอกห้องประชุมก็พูดได้แต่ในห้องประชุมประธานต้องทำหน้าที่ดูแลควบคุมการประชุมให้เกิดความเรียบร้อย เพราะฉะนั้นประธานต้องทักทวงได้ จะไปบอกล่วงหน้าไม่ได้ เพราะไม่ใช่นายณัฐพงศ์คนเดียวที่พูด อาจจะมีสมาชิกคนอื่นหรือรัฐมนตรีทำผิดกติกาข้อบังคับก็ได้ นายกฯทำเองตนก็ต้องทักท้วง

“ผมขอเรียนด้วยความสุจริตใจว่าเราจะให้คนใดคนหนึ่งหรือพูดล่วงหน้าไม่ได้เพราะกติกาข้อบังคับมีหลายข้อขอความกรุณา เมื่อท่านบอกว่ายินดีจะแก้ญัตติก็ขอให้แก้อยู่ในกติกา และผมไม่ใช่คนแรกที่ให้มีการแก้จะติผมอยู่ในสภานี้มา 40 ปีสมัยที่ท่านชวน เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตอนนั้นนายอุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธานสภาฯ ท่านก็ขอ ให้ผู้ยื่นญัตติคือท่านชวนกับคณะไปแก้ไข ซึ่งท่านชวนก็ไม่ได้เห็นด้วยว่าญัตติของท่านบกพร่อง แต่เพื่อให้ความร่วมมือการอภิปรายดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ท่านก็แก้ไขในบางส่วน สุดท้ายการประชุมก็ดำเนินไปด้วยดีประชุมของสภาเราจะเอาความเห็นส่วนตัวฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้แต่ในที่สุดต้องร่วมมือกันเพื่อให้การประชุมดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยสุดท้ายเราก็มีการลงมติและประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเองในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ยืนยันว่าผมไม่มีอคติ หากนายณัฐพงศ์จะแก้ญัตติก็ยินดีเพื่อให้ความร่วมมือ เป็นไปไม่ได้ถ้าเราจะดำเนินการอะไรโดยไม่มีความร่วมมือไม่ได้มีใครแพ้ใครชนะ ผู้ชนะคือประชาชน” ประธานสภาฯ กล่าว

ส่วนนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ลุกขึ้นเสนอว่าให้ประธานใช้ข้อบังคับที่176 สามารถอนุญาตให้นายกฯและรัฐมนตรี เอาบุคคลภายนอกเข้ามาชี้แจงได้เพื่อความสบายใจและเพื่อความเป็นธรรมของนายทักษิณ ประธานฯ ก็แค่ทำหนังสือถึงนายกฯว่า อนุญาตให้นายกฯพาบิดาเข้ามานั่งชี้แจงร่วมด้วยอันนี้ก็จะเป็นความเป็นธรรมของทั้งนายกฯและบิดาของนายกฯที่ชื่อนายทักษิณด้วย

นายวันมูหะมัดนอร์ ชี้แจงว่า ไม่ได้หมายความว่าตนระแวง หวาดกลัวสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ตนไม่เคยระแวงและไม่ได้หวาดกลัวถ้าเราปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายและข้อบังคับ

ขณะที่นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ชี้แจงหลังถูกพาดพิงว่า ขออธิบายสิ่งที่นายวันมูหะมัดนอร์พาดพิงถึงในญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจสมัยตอนที่ตนเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ในปีนั้นมีการขอให้แก้ไขถ้อยคำในญัตติไม่ได้เกี่ยวกับชื่อบุคคลใด โดยถ้อยคำที่มีการขอให้แก้ไขคือญัตติที่ระบุว่ารัฐบาลกดขี่ข่มเหงข้าราชการ ซึ่งความจริงแล้วถ้อยคำนี้ไม่ควรต้องแก้ไข แต่ขณะนั้นรัฐบาลกลัวฝ่ายค้านมาก ชนิดที่ว่าต้องเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรมาสู้กับตน แต่เราก็ทำหน้าที่ของเราไปตามปกติ

ทั้งนี้ เห็นว่าเมื่อประธานสภาฯ ได้ขอให้แก้ไขคำว่า“กดขี่ข่มเหงราชการ” ให้เป็นอย่างอื่น เราจึงแก้เป็น “รัฐบาลชอบอำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงรังแกประชาชน” แก้แล้วหนักกว่าเดิม แต่ประธานสภาฯ ไม่สามารถให้แก้เป็นครั้งที่ 2 ได้ ทำให้การอภิปรายในวันนั้นอภิปรายไปทั้งข้อความกดขี่ข่มเหงราชการและข้อความที่แก้ไขใหม่ ขอย้ำว่าไม่ได้เกี่ยวกับชื่อบุคคล

ขณะที่นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า ต่อไปนี้ถ้าประธานฯมีการใช้ดุลพินิจว่าห้ามใส่ชื่อบุคคลภายนอกแบบนี้ ต่อไปเราก็จะได้ทราบว่าเป็นบรรทัดฐานของการใช้อำนาจของประธานฯแบบนี้ เพราะหลังจากที่เกิดเรื่องนี้ ตนได้ไปค้นคว้ากว่า 40 ปี ตั้งแต่มีสภาฯมา พบว่ามีหลายครั้งที่มีการพาดพิงบุคคลภายนอก และต้องตั้งคำถามว่าหากต่อไปนี้ท่านประธานฯบอกว่าควรจะมีการถอดชื่อโดยอ้างอิงถึงความบกพร่อง ซึ่งในมุมของพวกเราความบกพร่องต้องเป็นความบกพร่องในรูปแบบ เช่น ลายเซ็นไม่ครบหรือไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นแบบนี้เราพร้อมน้อมรับ แต่เมื่อประธานบอกว่าความบกพร่องเป็นการใส่ชื่อบุคคลภายนอก เราคงต้องยืนยันว่าเราไม่เห็นด้วยกับการใช้ดุลพินิจแบบนี้ และอยากให้เป็นมาตรฐานแบบนี้ต่อไปหรือไม่ ส่วนหนังสือที่ส่งมาที่ผู้นำฝ่ายค้าน แล้วปรากฏว่าเกิน 7 วัน นั่นคือวันที่ 8 มี.ค.ในแง่นี้มีการอ้างข้อบกพร่องตามข้อบังคับ ต้องภายใน 7 วันนั้นจะวินิจฉัยเรื่องนี้อย่างไร

นายวันมูหะมัดนอร์ ชี้แจงว่า เรื่องมาตรา 151 เป็นเรื่องสส.กับรัฐบาล และครม. ก็ต้องดำเนินไปตามกติกาการอภิปรายไม่ไว้วางใจ อย่างไรก็ตาม เรื่องจำนวนวัน ตนได้ถามหลายฝ่าย หลักคือไม่ต้องการให้สภาฯยืดเยื้อซึ่งทางเจ้าหน้าที่กองการประชุม และฝ่ายกฎหมายก็ได้ชี้แจงแล้ว ยืนยันว่าในวันที่ 6 มี.ค.ตนได้เชิญผู้นำฝ่ายค้านฯ ไปคุยที่ห้องของตนแล้วบอกว่ามีข้อบกพร่องขอให้รับไปแก้ไข ผู้นำฝ่ายค้านจึงบอกว่าขอไปหารือก่อน ตนคิดว่าการแจ้งด้วยวาจาชัดเจนกว่าด้วยซ้ำ และเถียงกันถือว่าเล็กมากประเด็นใหญ่คือทำอย่างไรเราจะได้อภิปราย และถ้าตนทำผิดก็ยินดีให้ดำเนินการตามมาตรา 157 ได้ไม่มีปัญหา ทั้งนี้ จะมีการหารือกันอีกครั้งในช่วงบ่าย

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภา ว่า ช่วงเวลาประมาณ 10.00 น.วันนี้(13 มี.ค.68) นายวันมูหะมัดนอร์​ มะทา​ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญนายณัฐพงษ์​ เรืองปัญญาวุฒิ​ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร หารือในประเด็นเกี่ยวกับการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังส่งหนังสือขอให้ฝ่ายค้านแก้ไขญัตตินำชื่อนายทักษิณ​ ชินวัตร​ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากญัตติ

ทั้งนี้มีรายงานว่าฝ่ายค้าน ยอมที่จะ ไม่ใส่ชื่อนายทักษิณแล้ว แต่จะระบุ​คำว่า​​ “พ่อ” เท่านั้น​ และจะขอเวลาอภิปราย 2 วัน ซึ่งหากตกลงกันได้ วิป 3 ฝ่ายจะประชุมทันทีในช่วงบ่ายวันนี้(13มี.ค.)

ขณะที่นายพิเชษฐ์​ เชื้อเมืองพาน​ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 กล่าวยอมรับว่าช่วงเวลาประมาณ 15.00 น วันนี้(13 มี.ค.68) จะเป็นประธานการประชุมวิป 3 ฝ่าย ซึ่งจะมีตัวแทน สส.ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลและตัวแทนของคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อหาข้อสรุปเรื่องกรอบเวลาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจและคาดว่านจะสามารถเริ่มอภิปรายได้ในวันที่ 24มี.ค.

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าฝ่ายค้านจะตัดชื่อนายทักษิณออก โดยใช้คำว่า “พ่อ”แทน  และขอเวลาอภิปราย 2 วันนั้น นายพิเชษฐ์​ กล่าวว่า​ ไม่น่าจะมีปัญหา และมีความเป็นไปได้ ซึ่งทุกอย่างน่าจะจบภายในวันนี้

ด้าน นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมพร้อมในการอภิปรายว่า เราไม่ได้ทำผิด แต่เป็นการใช้อำนาจโดยพลการของประธานสภาฯในการที่จะบังคับพวกเราให้ถอนชื่อนายทักษิณออก

“การแตะต้องนายทักษิณ คงมีแรงต้านจากฝั่งรัฐบาลที่สูง ซึ่งแปลกประหลาดมาก ที่ผ่านมาได้ยินแต่คุณทักษิณ และคงต้องถามกลับไปที่คุณทักษิณว่า คุณทักษิณเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบัญชาการหรือไม่ หรือพูดแฟร์ๆ ออกสื่อได้เลยว่าสามารถพาดพิงได้ ผมพร้อม ผมเป็นคนสาธารณะที่สามารถตรวจสอบได้ หากท่านพูดแฟร์ๆ แบบนี้บรรดานั่งร้านทั้งหลายก็จะได้ไม่ต้องมาใช้เวทีนี้ในการปกป้องนาย และจะสามารถทำให้ฝ่ายค้านสามารถทำหน้าที่ได้มากกว่า”

เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านจะต้องระวังเรื่องการอภิปรายนายทักษิณมากขึ้นหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เราอยากให้ประชาชนรู้ความจริงมากที่สุด เราจึงพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด จะหากต้องมาระมัดระวัง เพื่อให้ความจริงไม่ประจักษ์ต่อประชาชน นั่นไม่ใช่พรรค ปชน. ยืนยันว่าหากเรื่องไหนที่นายทักษิณเข้าไปเกี่ยว เราก็จะอภิปราย แต่ไม่ได้เป็นการอภิปรายโดยตรง ยืนยันว่านี่คือการทำหน้าที่ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยในกรณี คือนายกรัฐมนตรี หากต้องมีองค์ประกอบคือคนนั้นคนนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็มีความจำเป็น

“วันนี้พอตัวเองต้องมาอยู่ในบทนี้ก็พยายามตีฆ้องร้องเปล่า เขียนเสือให้วัวกลัว ทำตัวราวกลับว่าเป็นพระอรหันต์ แต่ขอโทษเถอะ พอไปดูเนื้อหาสาระไม่มีเลย วันนี้เราเจอความท้าทายเรื่องกระบวนการยุติธรรมมากมาย ได้แต่วิงวอนว่าอย่างน้อยเมื่อฝ่ายค้านได้ทำหน้าที่ ขอให้ความยุติธรรมกับคนเหล่านี้บ้าง ประเทศจะได้มีความทัดทานไม่ให้ทุกอย่างแย่ไปกว่านี้ และเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจถ้าทำอย่างนั้นประธานสภาฯ จะต้องแบกรับผลลัพธ์ทางกฎหมาย วันนี้คงหาทางออกกันได้”

ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว ฝ่ายค้านยอมแก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยไม่ใส่ชื่อนายทักษิณ และมาใช้คำว่า พ่อ แทน ว่า ก็ดีแล้ว เป็นกระบวนการที่ควรจะเป็นแบบนั้น เพราะวิปทุกฝ่ายเกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งนายวันมูหะมัดนอร์ เป็นประธานสภาฯ และมีอำนาจในเรื่องนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ฝ่ายรัฐบาลมองว่าการอภิปราย 2 วันมีความเหมาะสมหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า อยู่ที่วิป 3 ฝ่ายคุยกัน และเอาข้อมูลมาดูว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกันมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่มีอะไรมาก ถ้า 1 วันก็ 1 วัน ถ้าครึ่งวันก็ครึ่งวัน ถ้ามันมาก 2 วันก็ต้องให้เขา 3 วันก็ต้องให้ถ้ามีมากพอ ที่สำคัญคือ เป็นการอภิปรายตัวนายกฯคนเดียว ซึ่งหลายเรื่องไม่น่าจะมากอะไร เพราะนายกฯ เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนายกฯโดยตรง ถ้าจะตีว่าเกี่ยวพันกับรัฐมนตรีก็ได้ แต่ไปดูว่า จริงๆ รัฐมนตรีแต่ละคนทำ แต่ในการที่ไม่เลือกมาอภิปราย แปลว่าไม่มีอะไรมากกับรัฐมนตรีแต่ละคน ถ้ามีมากเขาคงจับขึ้นมาอภิปรายแล้ว

“จริงๆ การอภิปรายไม่ไว้วางใจมันเปิดช่องให้ทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ถ้าเป็นการอภิปรายที่สร้างสรรค์ เป็นการอภิปรายที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาของประเทศ ไม่ใช่เกมการเมือง แต่ถ้าเป็นเกมการเมือง เขาป้องกันไม่ให้ไปพูดถึงคนอื่น แตะเขานู่นนี่ พูดให้เขาเสียหาย มันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้น เขาก็ไม่มีสิทธิ์จะมาตอบ คนอื่นจะไปตอบแทนก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร อันนี้ต่างหากคือ กฎหมายที่บอกว่าคุณอภิปรายคนนอกไม่ได้ เพราะคุณอภิปรายและเขาไม่มีสิทธิแก้ไขเท่านั้นเอง ผมว่าเป็นไปตามระบบระเบียบที่เป็นอยู่ ก็แก้ปัญหาได้แล้ว ถ้าไม่คิดเรื่องเกมการเมืองนะ ผมว่าอย่าคิดเลยเรื่องเกมการเมือง ประเทศบอบช้ำมานานแล้ว ให้เป็นเรื่องของวิป 3 ฝ่ายกับประธานสภาฯหาคำตอบร่วมกัน เราพร้อม”