เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 มี.ค. ที่ห้องคริสตัล ฮอลล์ ชั้น 3 โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก  น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษเปิดงานเผยแพร่ยุทธศาสตร์และนโยบายส่งเสริมการลงทุน ในหัวข้อ “Ignite Thailand : Invest in Endless Opportunities โอกาสการลงทุนไร้ขีดจำกัดในประเทศไทย” โดยมี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม 

 

โดยนายกฯ กล่าวปฐกถาตอนหนึ่งว่า วันนี้รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มางานนี้ อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีอยู่แล้วว่าทุกวันนี้การลงทุนของทั่วโลกเศรษฐกิจของทั่วโลกเป็นที่น่าท้าทายการที่จะเกิดการลงทุนใหม่ๆ ได้กลายเป็นเรื่องน่าท้าทายอย่างมากเช่นกัน  ทุกท่านที่อยู่ในวงการการลงทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์การธุรกิจและการลงทุนทราบดีว่าการจะหาช่องทางให้เกิดการลงทุนใหม่ๆไม่ได้เป็นไปได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อหลาย 10 ปีที่แล้ว แต่ ตอนนี้เองเรารู้สึกว่าเศรษฐกิจของเราค่อนข้างที่จะค่อยๆเติบโตขึ้น จึงอยากให้เติบโตแบบก้าวกระโดดกว่านี้ แต่การลงทุนหลายๆอย่างช้าไป ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่เราพยายามจะดึงนักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาให้เยอะมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสให้กับประเทศของเราในฐานะผู้นำรัฐบาล พยามเปลี่ยนความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกให้เป็นโอกาสของประเทศ เพราะเรามีหลายภาคส่วนที่จะต้องช่วยกันและร่วมมือกัน การใช้ภาครัฐอย่างเดียว ภาคเอกชนอย่างเดียว หรือภาคประชาชนอย่างเดียวจะไม่สามารถเกิดการลงทุนเกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างก้าวใหญ่

 

นายกฯ กล่าวต่อว่า ฉะนั้นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างบูรณาการ ซึ่งรัฐบาลเองแสดงความมั่นคงชัดเจนตลอดว่าเราต้องสร้างความเชื่อมั่นให้คนทั่วโลกทราบว่าประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่น่าลงทุน เป็นประเทศแห่งโอกาส มีคนทรัพยากรและศักยภาพของประเทศพร้อม ซึ่งตอนนี้เองมีหลายโครงการที่รัฐบาลพยามทำในเรื่องของโครงสร้างให้มั่นคงมากยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะการผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เรื่องของรถไฟความเร็วสูงและรถไฟรางคู่ ที่ตอนนี้มีการเชื่อมภาคใต้เข้าสู่ศูนย์ส่วนกลางทางการค้าและบริการ ในการอนุมัติการลงทุนในเรื่องรถไฟสายสีม่วงและสายสีม่วงใต้ เพื่อเชื่อมกรุงเทพฯชั้นนอก กับ ชั้นในเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีเตรียมของรถไฟความเร็วสูงภาคอีสานระยะที่ 2 เพื่อเชื่อมการคมนาคม ขนส่งของประเทศไทยในระดับภูมิภาค ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเพิ่มการเชื่อมต่อในการขนส่งสินค้า เรื่องการท่องเที่ยว และเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศเรา

 

นายกฯ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องของท่าอากาศยาน ที่ถือเป็นการลงทุนที่สำคัญ รัฐบาลเริ่มโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ซึ่งมีมูลค่าการลงทุน 1.5 แสนล้านบาท ที่จะขยายการใช้ท่าอากาศยานทั้งในกรุงเทพฯและในภูมิภาค ถือเป็นโครงการที่สำคัญมากที่จะทำให้โลจิสติกส์เข้มแข็งขึ้น ขณะเดียวกันประเทศอื่นๆและประเทศจีน สนใจที่จะมาลงทุนกับเราในโครงการแลนด์บริจด์ด้วย ขณะเดียวกันการบริหารจัดการน้ำเป็นสิ่งสำคัญมากอย่างปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีปัญหาเรื่องน้ำท่วม ดินโคนถล่มที่ภาคเหนือ  ดิฉันและรัฐบาลคิดและกลับไปดูเรื่องงบ ว่าเราใช้งบในค่าเยียวยา  ซึ่งการเยียวยาประชาชนเราทำได้และเต็มใจทำ แต่จะดีกว่าหรือไม่ถ้าประชาชนไม่ต้องผ่านเรื่องราวน้ำท่วม ไม่ต้องเกิดน้ำท่วม ไม่ต้องจ่ายค่าเยียวยา ดิฉันมั่นใจว่าประชาชนเลือกที่จะไม่เอาน้ำท่วมดีกว่าการรับค่าเยียวยา การที่ได้ไปสัมภาษณ์ชาวบ้านรู้สึกว่าเขามีปัญหาในเรื่องนี้มาก และดิฉันคิดว่าเราจะต้องลงทุนกับความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนถือเป็นเรื่องสำคัญกว่าทุกเรื่อง ฉะนั้นรัฐบาลได้วางแผนจัดทำกำแพงกั้นน้ำต่างๆที่เกิดขึ้นทางภาคเหนือ ภาคอีสานและทุกพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วม ซึ่งถือเป็นสิ่งที่รัฐวางแผนใหญ่ในการแก้ปัญหาตรงนี้

 

นายกฯ กล่าวอีกว่า รัฐบาลยังตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่นักลงทุนให้ความสนใจในฐานะศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และอากาศยานของภูมิภาคเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการค้าการลงทุนของประเทศไทยต่อประเทศอื่นๆทั่วโลกได้มากขึ้นเราพยายามที่จะสร้างและมุ่งเน้นในเรื่องของทางรัฐบาลและเอกชนในประเทศของเราให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันฉะนั้นการลงทุนที่ชาวต่างชาติจะเข้ามาตัดสินใจจะลงทุนที่ประเทศไทยหรือไม่จะได้มีความมั่นใจเพิ่มมายิ่งขึ้น  ขณะเดียวกันรัฐบาลให้ความสำคัญเน้นการลงทุนในเรื่องของเทคโนโลยีดิจิทัล หรือธุรกิจในอนาคต  รัฐบาลไม่ได้ละเลยคิดว่าการพัฒนาศักยภาพบุคคลสำคัญมากและการให้นักลงทุนเข้ามา ให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำงานเพราะเราเข้าใจดีว่าการศึกษาเรายังไม่สมบูรณ์แบบในเรื่องของเทคโนโลยี  จึงมีนโยบายหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน (ODOS) รวมถึงรัฐบาลมีแผนผลิตบุคลากรเพิ่มมากกว่า 80,000 คนและดึงดูดบุคลากรจากทั่วโลก เพื่อแลกเปลี่ยนการเรียนรู้และทำงานไปด้วย

 

“การดึงดูดนักลงทุนให้เพิ่มมากขึ้น ทำให้การลงทุนง่ายมากยิ่งขึ้นและบรรยากาศน่าลงทุน เป็นสิ่งที่เวลาไปที่ไหนได้พบกับบริษัทต่างชาติ เขาจะพูดว่าขั้นตอนมันเยอะ อยากจะทำให้เป็นวันสต็อปเซอร์วิสให้เร็วที่สุด เราพยายามจะตัดขั้นตอน ที่ไม่จำเป็น เช่น การส่งเอกสาร 1 ครั้งต้องส่งไป 10 ที่ เพราะทุกองค์กรต้องการเอกสารฉบับนี้  เราส่ง 10 ที่ ทำให้เสียเวลาพอสมควร ซึ่งเราจะทำให้กระชับสั้นมากยิ่งขึ้น ดิฉันอยู่เอกชนมาก่อนเวลาส่งเอกสารต้องส่งไป 10 ที่ คิดว่าทุกคนก็คงเข้าใจเหมือนกันทุกองค์กรต้องการเอกสารฉบับนี้ส่ง 10 ที่จะทำอะไรที ก็เสียเวลาพอสมควร ฉะนั้นทางกระทรวงดิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี)พยายามจะทำในเรื่องนี้ให้กระชับมากยิ่งขึ้น เป็นบรรยากาศที่น่าลงทุนเพิ่มมากยิ่งขึ้น” นายกฯ กล่าว

 

นายกฯ กล่าวอีกว่า ปีนี้เราโปรโมทการท่องเที่ยวถือเป็นนิมิตหมายที่ดีอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเรากำลังไปได้ด้วยดี  ดิฉัน และครอบครัวทำเรื่องของโรงแรมจะเห็นว่าการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน มากกว่าช่วงเลิกโควิด-19ใหม่ๆการจองโรงแรมไม่เคยเต็ม แต่ช่วงนี้เต็มตลอดทราบว่าประเทศไทยเป็นทางเลือกแรกๆของชาวต่างชาติเราต้องทำจุดแข็งที่แข็งอยู่แล้ว ให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวมากขึ้นไปรัฐบาลสนับสนุนเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ งานมหาสงกรานต์ในเดือนเม.ย.นี้ รัฐบาลโปรโมท สามารถเที่ยวได้ทั้งเดือนและจะมีกิจกรรมตั้งแต่ต้นเดือนจนไปถึงปลายเดือน และคิดว่าทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) จะเริ่มออกแผนวางที่ไหนน่าเที่ยวบ้างในประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเป็นเมืองหลักเท่านั้น เมืองรองของเราก็น่าเที่ยว การเที่ยวเมืองไทยสามารถเที่ยวได้ทั้งปีเที่ยวได้ตลอด สิ่งที่รัฐบาลสนับสนุนอย่างเต็มที่

 

“วันนี้เป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยทำลายสถิติใหม่ คือ ประเทศไทยได้รับส่งเสริมการลงทุนมีมูลค่ามากกว่า 1.13 ล้านล้านบาท ถือเป็นตัวเลขการลงทุนที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาทต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนในการผลักดันในเรื่องนี้ และขอบคุณบีโอไอที่ทำงานอย่างหนัก ทำให้เห็นผลงานเป็นประจักษ์ตัวเลขที่สูงขึ้นในรอบ 10 ปีนี้ถือเป็นความน่าภาคภูมิใจของประเทศไทย จึงขอเน้นย้ำว่าการพัฒนาเศรษฐกิจการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต้องอาศัยทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ภาคประชาชน ถ้าเราทำบรรยากาศของประเทศให้เป็นที่น่าลงทุนได้ เราจะสามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้มั่นคงและยังยืนต่อไปได้” นายกฯ กล่าว