วันที่ 12 มิ.ย. 68 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงภายหลังเป็นประธานประชุมสภาทหารผ่านศึก ถึงความคืบหน้าการสืบสวนกรณีคดีทุจริตยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึกว่า เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะสังคมกำลังเฝ้ามองอยู่ และเราได้รับข่าวสาร และมีผู้แทนราษฎรเขียนโน้ตถึงตน จึงได้สั่งการให้ตรวจสอบ จะเห็นว่าเราไม่ได้นิ่งนอนใจและตอบสนองทันที พร้อมตั้งกรรมการสอบและได้เรียกผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกมาคุย 

 

นายภูมิธรรม กล่าวว่า การสอบสวนขั้นต้นถือว่าคืบหน้าไปด้วยดี ขณะนี้กำลังตรวจสอบผู้ที่อยู่ในเครือข่ายว่า ป่วยเป็นโรคนั้นจริงหรือไม่ ซึ่งได้มีการจ่ายยาให้ อีกทั้งมีผู้ป่วยเบาหวาน แต่พอไปตรวจเลือดแล้วก็พบว่าไม่ได้เป็น ส่วนที่ป่วยจริงๆ ก็มี ตอนนี้ก็สอบปากคำไปเกือบ 150 คนแล้ว และมีการไปสอบเพิ่มเติมที่ จ.ลพบุรี และสมุทรปราการ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีรายชื่อเครือข่ายปรากฏอยู่

 

นายภูมิธรรม กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีคนที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อ แต่อาสามาให้ข้อมูลอีก 30 กว่าราย นี่เป็นเฉพาะจุดแรกที่เริ่มสอบสวน ซึ่งตนได้เชิญให้เจ้าหน้าที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เข้ามาร่วมตรวจสอบ เพราะเราต้องดูเรื่องเส้นทางการเงินด้วย ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดี คาดว่าสิ้นเดือนมี.ค. จะสามารถออกหมายจับได้ เพราะตอนนี้ได้พบเครือข่ายและผู้เกี่ยวข้องแล้ว แต่ขอให้ชัดเจนออกหมายจับก่อน ค่อยว่ากัน

 

“มีทั้งผู้เกี่ยวข้องระดับสูงและเครือข่ายต่างๆ รวมทั้งหัวหน้าหน่วย หัวหน้าส่วนที่เป็นเครือข่ายในการดำเนินการ ดังนั้นมีนาคมนี้น่าจะจบ และจะมีการชี้แจงสื่อมวลชนชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกันเราก็สอบต่อด้วยอีกทางว่าหมดเครือข่ายนี้หรือยัง หรือมีต่อ เพราะเราพบหลายจุดซึ่งอาจจะอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน ก็จะขอเวลาดำเนินการ ซึ่งตั้งแต่เป็นข่าวเราก็เริ่มดำเนินการเลย คิดว่าภายใน 1 เดือนก็คงจบเรื่องนี้ชัดเจน” นายภูมิธรรม กล่าว

 

เมื่อถามว่า ถ้ารอจนถึงสิ้นเดือน มี.ค.จะมีการทำลายพยานหลักฐานหรือไม่ เพราะขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งให้พักงานเจ้าหน้าที่บางส่วน นายภูมิธรรม กล่าวว่า เดี๋ยวรอ เพราะมันมีหลายหน่วย พร้อมยืนยันว่า หลักฐานทำลายไม่ได้ เพราะเราเข้าไปกำชับเข้มงวดในการตรวจสอบอยู่แล้ว อีกทั้งหลักฐานที่เราได้มาก็พอสมควร กำลังหารายละเอียดให้ครบถ้วน จึงขอไม่เปิดเผยรายละเอียดมากกว่านี้ เพราะอยู่ในกระบวนการ แต่ยืนยันว่าสิ้นเดือนมีนาคม มีความชัดเจน

 

เมื่อถามว่า นอกจากโรงพยาบาลทหารผ่านศึกแล้ว อาจมีโรงพยาบาลรัฐอื่นๆ ที่กระทำในลักษณะนี้เช่นกัน หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขณะนี้พบที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึกแห่งเดียว แต่ก็กำลังสอบต่อว่าจะมีแค่นี้ หรือจะมีเพิ่มอีก ซึ่งการตรวจสอบจะเห็นความชัดเจนมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องดูอีกที จึงยังไม่ควรพูดอะไรที่ยังไม่ชัดเจน

 

เมื่อถามถึงกรอบระยะเวลาในการตรวจสอบ เพราะมีการแบ่งทำงานถึง 5 ทีม ทีมละ 100 คน นายภูมิธรรม บอกว่า ตอนนี้มีการแยกสอบทั้ง ป.ป.ท. ปปง. อผศ. และตำรวจ เพราะเราได้แจ้งความไว้ชัดเจนแล้ว ซึ่งผลที่ออกมาจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนแน่นอน

 

เมื่อถามว่า ขบวนการทำกันมาเป็น 10 ปีแล้ว การตรวจสอบจะย้อนหลังไปถึงผู้ที่เกษียณไปแล้วหรือไม่ รมว.กลาโหม กล่าวว่า เขาทำมา 10 ปีแล้วจริงหรือไม่ ตอบไม่ได้ แต่เราพบ ณ ขณะนี้ ก็ต้องทำให้ชัดเจนก่อน ส่วนถ้าสอบแล้วต่อไปถึงไหนเราก็ต้องไปตรงนั้น เพราะความผิดมันขึ้นอยู่กับอายุความ และความเป็นจริง

 

“ถ้าความเป็นจริงมันถึง เราก็ต้องเอาให้ถึง และผมได้พูดในที่ประชุมว่าเราเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อทหารหาญที่สละชีพ และทุพพลภาพจากการสู้รบเพื่อปกป้องประเทศชาติ แทนที่เงินเหล่านี้จะไปช่วยพวกเขาได้มากขึ้น กลับถูกเบียดยังไป เราก็ต้องดำเนินการ จึงบอกเจ้าหน้าที่ไปว่าขอให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และเต็มที่ เข้มงวด ให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย และข้อบังคับอย่างเคร่งครัด ได้อย่างไรก็เอาอย่างนั้น ก็จะเป็นโอกาสที่จะทำให้สังคมเชื่อมั่น ในสิ่งที่เราเป็นอยู่ รวมถึงได้เสนอรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ขอให้ไปวางระบบดูแลที่เข้มงวดกว่านี้ เพราะโรงพยาบาลเอกชนก็มีระบบในการเบิกจ่ายยา ก็ขอให้ไปศึกษาไปดู ถ้าจัดการตรงนี้แล้ว ก็ต้องวางระบบไปพร้อมด้วย”

 

รมว.กลาโหม ยอมรับว่า ระบบที่มีการจัดวางใหม่ อาจจะกระทบต่อการบริการประชาชนบ้าง แต่โรงพยาบาลเอกชน หรือโรงพยาบาลรัฐที่ทันสมัย อย่างเช่นโรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลศิริราช เขาก็ใช้กันได้ แม้ประชาชนจะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ก็ต้องทำให้โปร่งใส และตนคิดว่าทุกวันนี้มันไม่ได้พัฒนาระบบป้องกันอย่างเดียว แต่ต้องพัฒนาระบบให้รวดเร็วมากขึ้นอีก สามารถจองคิวได้ พร้อมยืนยันไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้