วันที่ 12 มี.ค. 68 เวลา 10.00 น. ณ ห้องกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จัดประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เพื่อติดตามสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) โดยมีผู้บริหาร ปภ. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมฯ เน้นย้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัดบูรณาการการทำงานอย่างต่อเนื่อง และประสานการทำงานในทุกระดับ เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 พร้อมเตรียมหารือร่วมกันทุกภาคส่วนเพื่อรับมือสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ช่วงปลายปี 68 – ต้นปี 69 ด้วยการป้องกันเชิงรุก 

 

นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะผู้อำนวยการกลาง/เลขานุการ กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า สถานการณ์ฝุ่นโดยภาพรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี พื้นที่ภาคใต้มีคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ส่วนภาคอื่น ๆ หลายพื้นที่ยังคงมีค่าฝุ่นเกินเกณฑ์มาตรฐาน อย่างไรก็ตาม พบว่าค่าฝุ่นในพื้นที่ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑลดีขึ้นกว่าเมื่อวาน ส่วนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีค่าฝุ่นเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย ทำให้ต้องมีการเฝ้าระวังสถานการณ์ในสองพื้นที่นี้อย่างใกล้ชิดและเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินการตามข้อสั่งการเพื่อลดค่าฝุ่นให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติโดยเร็วที่สุด ด้านจุดความร้อน (Hotspot) วันนี้พบทั้งหมด 1,034 จุด เมื่อเทียบกับปีที่แล้วถือว่าลดลงครึ่งหนึ่ง โดยพื้นที่ที่พบจุดความร้อนมากที่สุดยังคงเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์ในภาคเหนือ โดยจังหวัดที่พบจุดความร้อนมากที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ จังหวัดลำปาง ตาก น่าน ชัยภูมิ และเชียงใหม่ ด้านจุดความร้อนในประเทศเพื่อนบ้านพบจุดความร้อนในประเทศเมียนมาสูงถึง 4,931 จุด ซึ่งมีผลทำให้ภาคเหนือตอนบน 9 จังหวัดอาจได้รับผลกระทบ หากทิศทางลมมีการเปลี่ยนแปลงพัดหมอกควันจากประเทศเมียนมาสู่ประเทศไทย 

 

สำหรับการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในห้วงที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องเพื่อลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 จากแหล่งกำเนิด โดยในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ กรมป่าไม้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกปฏิบัติการควบคุมไฟป่ารวมกว่า 3,687 ครั้ง แยกเป็นพื้นที่ภาคเหนือ 2,262 ครั้ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 777 ครั้ง ภาคกลาง 648 ครั้ง และได้มีการดำเนินคดีกับผู้ที่เผาในพื้นที่ป่าสงวนไปแล้วรวม 94 คดี สำหรับพื้นที่ป่าอนุรักษ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยดำเนินคดีกับผู้จุดไฟเผาป่าอย่างเด็ดขาด 54 คดี จับผู้ต้องหาได้ 15 ราย ด้านพื้นที่การเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เน้นส่งเสริมการเกษตรปลอดการเผา สนับสนุนการจำกัดเศษวัสดุทางการเกษตรด้วยวิธีการอื่น โดยมีการจัดงานถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการเกษตรให้แก่เกษตรกร รณรงค์การทำการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนหยุดเผาในพื้นที่การเกษตร ด้านการดูแลผลกระทบที่มีต่อสุขภาพประชาชน กระทรวงสาธารณสุขได้เปิดห้องปลอดฝุ่น จำนวน 17,410 ห้อง รองรับประชาชนได้ถึง 1,940,589 คน รวมถึงจัดตั้งคลินิกมลพิษ 192 แห่ง และสนับสนุนหน้ากากอนามัยให้แก่ประชาชนและกลุ่มเปราะบางรวมแล้วกว่า 3,087,491 ชิ้น 

 

สำหรับการดำเนินงานในระดับพื้นที่ ได้มีการปฏิบัติตามมาตรการของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติอย่างเข้มข้น โดยจังหวัดตากซึ่งพื้นที่ที่พบจุดความร้อนสูงอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ และด้วยสภาพพื้นที่ที่เป็นป่าเต็งรังทำให้เกิดไฟป่าได้ง่าย อีกทั้งภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงทำให้ยากต่อการเดินเท้าเข้าไปดับไฟ จังหวัดจึงได้มีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนจิตอาสา เข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยได้สนธิกำลังเดินเท้าดับไฟป่า จัดทำแนวกันไฟ และลาดตระเวนพื้นที่เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการเกิดไฟป่า รวมถึงประกาศปิดป่าห้ามบุคคลเข้าไปพื้นที่ป่าเพื่อลดโอกาสเกิดการเผาป่าใน 4 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองตาก อ.บ้านตาก อ.สามเงา และ อ.วังเจ้า ซึ่งเป็น 4 อำเภอที่พบเหตุไฟป่าสูงที่สุด นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินคดีกับผู้ที่เผาทั้งในเขตพื้นที่ป่า พี้นที่การเกษตร และพื้นที่โล่งในชุมชน รวม 70 คดี จับกุมผู้ต้องหาแล้ว 9 คน และได้มีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์มาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ตลอดจนแนวทางการดูแลสุขภาพในช่วงที่ค่าฝุ่นเกินเกณฑ์มาตรฐาน 

ด้านนายสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะประธานการประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ กล่าวว่า จากข้อมูลจุดความร้อนและค่าฝุ่นในวันนี้ชี้ให้เห็นว่าหลายพื้นที่ของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 เกินเกณฑ์มาตรฐาน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยา จึงขอให้หน่วยงานในพื้นที่ติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินการเพื่อลดฝุ่นละอองจากแหล่งกำเนิด ในส่วนของพื้นที่อื่นที่ถึงแม้สถานการณ์ดีขึ้น แต่ก็ขอให้มีการดำเนินการตามมาตรการอย่างเคร่งครัด โดยขอให้ทุกภาคส่วนดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ทั้งการควบคุมไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่ การบังคับใช้กฎหมายและดำเนินคดีกับผู้ที่ฝ่าฝืนอย่างจริงจัง การบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมถึงหารือหน่วยงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่เตรียมการรับมือกับสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายปี 2568 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2569 โดยเน้นไปที่การป้องกันเชิงรุกเพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์มากกว่าการแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น

 

ในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ดำเนิน 6 มาตรการของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และข้อสั่งการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างเคร่งครัด รวมถึงเตรียมพร้อมสรรพกำลัง เจ้าหน้าที่ และเครื่องจักรกลสาธารณภัย เพื่อสนับสนุนจังหวัดที่มีสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 ในการควบคุมสถานการณ์ แก้ไขปัญหา และบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน โดยร่วมกับกองทัพบก (ทบ.) นำเฮลิคอปเตอร์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย KA-32 ไปประจำการ ณ กองทัพภาคที่ 7 อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ และขึ้นบินปฏิบัติการทิ้งน้ำดับไฟป่าตามที่ได้รับมอบหมายจากกองทัพภาคที่ 3 อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 12 มี.ค. 68) ได้บินปฏิบัติภารกิจรวมทั้งสิ้น 167 เที่ยวบิน ทิ้งน้ำดับไฟป่ารวมทั้งสิ้น 501,000 ลิตร 

ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะติดตามสถานการณ์และรายงานข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ให้ประชาชนทราบเป็นระยะ ทาง Facebook กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ X @DDPMNews หากประชาชนต้องการแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือ สามารถแจ้งเรื่องได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 หรือทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” @1784DDPM ได้ตลอด 24 ชั่วโมง"