นายฟิลลิป อายส์วอดประธานสมาคมส่งเสริมธุรกิจการจัดอินเซนทิฟระดับโลก The Society for Incentive Travel Excellence (SITE) กล่าวถึง เทรนด์โลกของธุรกิจการจัดงานอินเซนทิฟหรือการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล เป็นธุรกิจที่มีการเติบโตเร็วที่สุด และมีค่าใช้จ่ายต่อคนสูงที่สุดจากทุกกลุ่มของอุตสาหกรรมไมซ์ ซึ่งนักเดินทางกลุ่มอินเซนทิฟส่วนใหญ่จะเดินทางอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน โดยเสน่ห์ของจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดนักเดินทางกลุ่มอินเซนทิฟ ได้แก่ ภาพลักษณ์ชื่อเสียงของประเทศ และแบรนด์ของเมืองหรือจังหวัดเป็นสิ่งสำคัญ เน้นการพัฒนาเมืองรองเป็นจุดหมายปลายทางใหม่เพื่อตอบโจทย์นักเดินทาง รวมถึงมีความนิยมในกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด และเทคโนโลยีคือปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ ซึ่งภาพรวมแนวโน้มของประเทศไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการจัดอินเซนทิฟ ถือเป็นแนวโน้มที่ดีมาก เนื่องจากประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านการจัดอินเซนทิฟที่สมบูรณ์แบบ เดินทางเข้าถึงได้ง่าย มีโรงแรมที่พัก และสถานที่จัดงานระดับห้าดาว มีรากฐานวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ อาหารการกินที่มีชื่อเสียงเป็นเอกลักษณ์ จึงได้เลือกจัดงานประชุมใหญ่ SITE2019 Global Conference ภายใต้คอนเซปต์งาน Incentivising Diversity & Innovation ด้าน นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า การที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพการจัดประชุมใหญ่ SITE2019 Global Conference ครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศใน 4 ด้านหลักด้วยกัน คือ 1. การสร้างความเชื่อมั่นจากประชาคมโลกถึงศักยภาพความพร้อมของไทยในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอินเซนทิฟในระดับภูมิภาค และการเพิ่มจำนวนงานอินเซนทิฟระดับโลกเข้าสู่ประเทศไทย 2. การกระตุ้นอุตสาหกรรมอินเซนทิฟในระดับภูมิภาคอาเซียนให้เติบโต 3. การสร้างแรงบันดาลใจและผลักดันบุคลากรในวงการอินเซนทิฟให้ตื่นตัวและมีการพัฒนาต่อเนื่องอยู่เสมอ 4. การสร้างโอกาสให้กับอุตสาหกรรมอินเซนทิฟไทยได้แสดงศักยภาพด้านวัฒนธรรมที่หลากหลาย และนวัตกรรมภูมิปัญญาสร้างสรรค์ของประเทศสู่สายตาผู้เชี่ยวชาญด้านอินเซนทิฟจากทั่วที่จะเข้าร่วมงานกว่า 300 ราย และคาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับระบบเศรษฐกิจไทยได้กว่า 25 ล้านบาท ทั้งนี้ บทบาทของทีเส็บในครั้งนี้ได้ดำเนินตามแนวการทำงานภายใต้แบรนด์ไมซ์ไทย THAILAND: Redefine Your Business Events ในฐานะของ Co-Creator ผู้ร่วมประมูลสิทธิ์การจัดงานประชุมใหญ่ของมืออาชีพด้านอินเซนทิฟจากทั่วโลกมาพบปะแลกเปลี่ยน หารือการทำธุรกิจร่วมกันในอนาคต ได้ร่วมเป็น Partner หรือพันธมิตรกับหน่วยงานภาครัฐและผู้ประกอบการภาคเอกชนในการสร้างทีมคณะทำงานเจ้าภาพ เช่น กรุงเทพมหานคร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) การบินไทย และสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) ขณะเดียวกันยังเป็น Collaborator สร้างความร่วมมือกับพันธมิตรในการอำนวยความสะดวกการจัดงาน อาทิ การบริการไมซ์เลนช่องทางพิเศษ ประสานเรื่องสถานที่จัดงานและที่พัก ตลอดจนเป็น Thought Leader ผู้นำสร้างสรรค์การนำเสนอวัฒนธรรมและนวัตกรรมให้วงการอินเซนทิฟไทยและระดับนานาชาติ ได้มองเห็นช่องทางของการพัฒนาแนวคิด สินค้าหรือบริการใหม่เพื่อตอบสนองนักเดินทางเป้าหมายในอนาคต ขณะเดียวกันยังนำเสนอกิจกรรมก่อน-หลังการประชุมที่ให้ผู้เข้าประชุมได้เรียนรู้วัฒนธรรมไทยและชีวิตความเป็นอยู่ของไทยริมแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากเป็นที่ตั้งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ รวมถึงเป็นที่ตั้งของสถานที่จัดงานและศูนย์การค้าสมัยใหม่ จึงเหมาะสมกับการเป็นสถานที่จัดงานให้ผู้เข้าประชุมเห็นภาพประเทศไทยทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และพัฒนาการที่ก้าวทันโลกสมัยใหม่ไปพร้อมกัน ซึ่ง นายจิรุตถ์ ได้กล่าวต่อว่า ทีเส็บยังได้ร่วมมือกับสมาคม SITE จัดหลักสูตรอบรมเพื่อเรียนรู้การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอินเซนทิฟ ที่เรียกว่า Certified Incentive Specialists (CIS) ในวันที่ 10-11 มกราคม เพื่ออบรมเบื้องต้นและสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์แนวทางการออกแบบโปรแกรมอินเซนทิฟ ที่สามารถกระตุ้นจูงใจผู้ร่วมงานให้พัฒนาตนเอง พัฒนาอาชีพ เรียนรู้การตลาดและห่วงโซ่ของธุรกิจอินเซนทิฟ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมอบรมถึง 60 ราย จากฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และไทย ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยผ่านการอบรม CIS สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียรวมถึง 68 คน ตอกย้ำศักยภาพบุคลากรด้านอินเซนทิฟที่มีมาตรฐานนานาชาติของประเทศไทย สำหรับตลาดอินเซนทิฟไทยในปีที่ผ่านมา 2561 (สิ้นสุดปีงบประมาณเดือนกันยายน 2561) มีจำนวนนักเดินทางจากต่างประเทศทั้งสิ้น 369,370 ราย เติบโต 35.90% สูงที่สุดในรอบ 14 ปี มีรายได้รวม 20,670 ล้านบาท เติบโต 23.80% สูงที่สุดในรอบ 7 ปี กลุ่มนักเดินทาง 10 อันดับแรกที่มีจำนวนสูงสุดได้แก่ จีน 79,121 ราย อินเดีย 65,717 ราย มาเลเซีย 32,980 ราย เวียดนาม 26,046 ราย ฟิลิปปินส์ 22,025 ราย เกาหลีใต้ 17,596 ราย อินโดนีเซีย 16,164 ราย สิงคโปร์ 14,596 ราย ญี่ปุ่น 13,187 ราย และ สปป. ลาว 13,157 ราย โดยมีจุดหมายปลายทางของการจัดงานที่ กรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต