“นายกฯอิ๊ง”การันตี แจกเงินหมื่นได้ทุกกลุ่ม แจง อายุ 16-20 ปีได้ก่อน เป็นเรื่องเทคโนโลยี ด้าน “เผ่าภูมิ” เคลียร์ชัดๆ เงินหมื่นเฟส 3 จ่ายค่าเทอม-ค่าโทรศัพท์-ค่าน้ำค่าไฟ ไม่ได้ เหตุนับเป็นค่าบริการไม่ใช่ค่าอุปโภค-บริโภค ส่วน “ครม.”เคาะลดค่าไฟกลุ่มเปราะบางไม่เกิน 300 หน่วย/เดือน งวด ม.ค.-เม.ย.68 ลง 16.05 สต./หน่วย
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส3 ที่ให้กับเด็กอายุ 16-20 ปี จะให้ผ่านแอปทางรัฐหรือช่องทางไหน ว่า จะให้กระทรวงการคลังแจ้งในรายละเอียด แต่ให้ทุกคนโหลดแอปทางรัฐไว้ก่อน
เมื่อถามว่ากลุ่มอายุ 20-59 ปี กังวลว่าจะไม่ได้รับเงินหมื่น น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า "ขอย้ำให้ความมั่นใจว่าทุกกลุ่มจะได้รับ ไม่ต้องกังวล ที่เราให้กลุ่มอายุ 16-20 ปีก่อน เพราะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี บางคนอาจพูดว่าทำไมไม่ให้เงินสดเหมือนเดิม ความจริงเป็นนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตตอนแรก แต่พื้นฐานที่มาคือกระตุ้นเศรษฐกิจ และเข้าไปสู่เทคโนโลยีด้วยเป็นสิ่งที่ตั้งใจตั้งแต่หาเสียงเลือกตั้งแต่ระบบต้องใช้เวลา และประชาชนเดือดร้อน
“เรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกที่เป็นเรื่องของเงินสดคือจำเป็นมาก แต่พอตอนนี้ระบบใกล้เสร็จแล้ว ก็กลับมาเป็นดิจิทัลวอลเล็ตที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจแบบผ่านเทคโนโลยี แน่นอนว่าการให้ข้อมูลไม่จบแค่นี้ยังมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมายในการมีฐานข้อมูลประชาชนไว้เวลาเกิดอะไรขึ้นแม้กระทั่งการเยียวยาเราจะสามารถจับกลุ่มได้ว่าคนพื้นที่นี้อายุเท่านั้นเท่านี้จะทำงานง่ายและเร็วขึ้น ช่วยพี่น้องประชาชนได้ทั่วถึงจริงๆ”
ด้าน นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงเงื่อนไขการใช้เงิน หมื่น เฟส 3 ในกลุ่มอายุ 16-20 ปี ว่า ค่าเทอม ค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าน้ำ-ค่าไฟ หรือค่าบริการต่าง ๆ ถือเป็นค่าบริการ ร่วมซึ่งไม่ได้เข้าร่วมในโครงการนี้ ยืนยันว่าไม่สามารถใช้ได้ โดยให้คิดง่ายๆ ว่า เงินต้องเอาไปแลกสินค้าเพื่ออุปโภคและบริโภค จะไปใช้บริการไม่ได้ ดังนั้นค่าเทอม ค่าโทรศัพท์มือถือถือว่าเป็นค่าบริการ จึงไม่สามารถใช้ได้
ทั้งนี้มีร้านค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วมได้ประมาณ 8 กลุ่ม เช่น ร้านขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ร้านขายสุรา ร้านขายบุหรี่ สถานีน้ำมัน เป็นต้น แต่ร้านค้าในสถานีน้ำมันสามารถใช้บริการได้
ขณะที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวเสริมว่า คราวหลังขอให้ผู้สื่อข่าวส่งคำถามมาก่อน พร้อมกล่าวย้ำว่าประชาชนสามารถเอาเงินไปใช้ซื้อสินค้าได้
วันเดียวกัน นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการลดภาระค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชนจากที่ได้สิ้นสุดไปแล้วเมื่อเดือน ธ.ค.67 ทั้งนี้ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยปรับลดค่าไฟฟ้าลง 16.05 สตางค์/หน่วย ในงวดเดือนม.ค.-เม.ย.68 รวมระยะเวลา 4 เดือน โดยปรับลดค่าไฟฟ้าให้แก่กลุ่มเปราะบาง ที่ใช้ที่ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วย/เดือน ประกอบด้วย 1.ผู้ใช้ไฟ ที่บ้านอยู่ในพื้นที่ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และผู้ใช้ไฟ ที่บ้านอยู่ในพื้นที่ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 2.ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยรายย่อย ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)3.ผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่บริการของกิจการการไฟฟ้าสัมปทานสวัสดิการกองทัพเรือ โดยมาตรการนี้คาดว่าจะมีประชาชนได้รับความช่วยเหลือ 21.3 ล้านคน คิดเป็นงบประมาณราว 1,700 ล้านบาท หรือ 425 ล้านบาท/เดือน