สถานการณ์โรคระบาด ASF (African Swine Fever) หรือ อหิวาต์แอฟริกาในสุกร ที่เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศเพื่อนบ้านของไทย กำลังส่งสัญญาณเตือนให้ไทยเตรียมพร้อมป้องกันในระดับสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น “มาเลเซีย” ที่มีรายงานว่ามีสุกร 76,000 ตัวได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อ ASF หลังจากทำการสุ่มตรวจตัวอย่างปศุสัตว์ในฟาร์มที่ได้รับอนุญาต 114 แห่งในเซปังและกัวลาลางัต
ขณะที่ “สปป.ลาว” ประกาศให้แขวงไชยสมบูรณ์ในภาคกลางเป็นพื้นที่สีแดง หลังพบการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในพื้นที่ดังกล่าว โดยทางการลาวได้สั่งห้ามแปรรูปและจำหน่ายเนื้อหมูที่ติดเชื้อโดยเด็ดขาด รวมทั้งเพิ่มการเฝ้าระวังในหมู่บ้านหลายแห่งทั่วแขวงไชยสมบูรณ์และแขวงบอลิคำไซ ทั้งยังได้ขอความร่วมมือให้เกษตรกรเข้มงวดเรื่องมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพและปฏิบัติตามข้อกำหนดการเคลื่อนย้ายสัตว์เพื่อควบคุมการระบาดให้เร็วที่สุด
เชื้อ ASF ยังไม่มียารักษา ไม่มีวัคซีนป้องกัน และไม่สามารถติดต่อจากสัตว์สู่คนได้ แต่ “คน” สามารถเป็นพาหะแพร่เชื้อได้ โรคนี้ส่งผลกระทบต่อสุกรและหมูป่าโดยมีอัตราการตายสูงถึงเกือบ 100% ตัวไวรัสทนความร้อนได้สูง และสามารถอยู่รอดในเนื้อแช่แข็งได้นานถึง 3 ปี และในเนื้อแห้งได้นานถึง 1 ปี นับว่าเป็นเชื้อที่อันตรายที่สุดของสุกรทั่วโลก โรค ASF ไม่เพียงแต่จะทำให้สูญเสียสุกรจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายลงไปถึงระบบความมั่นคงทางอาหาร กระทบอุตสาหกรรมอาหารและระบบเศรษฐกิจอีกด้วย
เมื่อโรค ASF มาเคาะประตูบ้านไทยแทบจะทุกทิศทางเช่นนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะต้องยกระดับการป้องกันโรคในระดับสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ตามแนวเขตชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงการเดินทางโดยเครื่องบินที่อาจจะมีเนื้อหมูที่สุ่มเสี่ยงปะปนเข้ามากับนักท่องเที่ยวในรูปแบบอาหารแปรรูปและวัตถุดิบ
“ระบบไบโอซีเคียวริตี้ - Biosecurity System” เป็นระบบความปลอดภัยทางชีวภาพในการเลี้ยงสุกรอย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานกรมปศุสัตว์ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีและบังคับใช้อย่างเคร่งครัด เช่น การเลี้ยงสุกรในโรงเรือนระบบปิด ป้องกันสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรค อาทิ หนู นก หรือแมลงต่างๆ นอกจากนี้ วัตถุดิบที่นำมาใช้ภายในฟาร์ม ทั้งอาหาร น้ำ และวัสดุจำเป็นอื่นๆ ต้องมีการตรวจสอบย้อนกลับไปถึงแหล่งที่มาได้ และต้องควบคุมยานพาหนะขนส่งเข้า-ออกฟาร์มอย่างเข้มงวด โดยรถทุกคันและพนักงานฟาร์มทุกคนต้องผ่านระบบฆ่าเชื้อเพื่อไม่ให้คนหรือยานพาหนะเป็นพาหะนำเชื้อโรคเข้าสู่ฟาร์ม
การสร้างและรักษามาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพถือเป็นหัวใจสำคัญในการจัดการโรค ASF หากเราละเลยในเรื่องนี้อาจจะนำไปสู่การระบาดที่รุนแรง ส่งผลให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงต่อเศรษฐกิจและการเกษตรกรรม แต่ในทางกลับกัน หากมีการเตรียมการและการวางแผนที่ดี ประเทศไทยจะสามารถลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดที่อาจเกิดขึ้นได้ แม้ต้นทุนการเลี้ยงสุกรในช่วงนี้ จะต้องเพิ่มขึ้นจากการเฝ้าระวังและเข้มงวดมาตรการป้องกันโรค เช่น การลงทุนในการทำความสะอาด การฆ่าเชื้อ และการตรวจสอบสุขภาพของสุกรอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่านี่จะเป็นอุปสรรคและภาระเพิ่มเติมให้กับผู้เลี้ยง แต่การลงทุนในมาตรการเหล่านี้จะช่วยปกป้องฟาร์มและเป็นการลงทุนในความปลอดภัยในระยะยาว
การเตรียมความพร้อมและการตอบสนองต่อโรค ASF ไม่ใช่เพียงแค่หน้าที่ของหน่วยงานรัฐหรือเกษตรกรเพียงอย่างเดียว แต่ทุกคนในสังคมมีบทบาทในการป้องกันและเฝ้าระวัง เชื่อมโยงการดำเนินการระหว่างเกษตรกร นักวิชาการ และหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยเกี่ยวกับการป้องกันและช่องทางการแพร่ระบาดของโรค
ทุกภาคส่วนควรตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรค ASF และร่วมมือกันในการสร้างสังคมที่มีความปลอดภัย เมื่อโรคนี้เคาะประตูบ้านเรา ต้องไม่รอช้าและยกระดับการป้องกันสูงสุด เพื่อปกป้องสุกรและความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรในประเทศไทย ไม่ให้เชื้อโรคนี้กลายเป็นภัยร้ายส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
โดย : สมคิด เรืองณรงค์