Pi Daily ตลาดหลักทรัพย์เผยแนวคิด TISA หยิบยก Model จากญี่ปุ่น มองเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยจากสภาพคล่อง แต่การตอบรับจะมากน้อยเพียงใดต้องรอติดตาม
เมื่อวันที่ 10 มี.ค.68 ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปิดบวก 222 จุด (+0.52%) ได้แรงหนุนจากประธาน FED ออกมาให้ความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังอยู่ในภาวะที่ดีและยืนยันไม่เร่งลดดอกเบี้ย ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1.3% หลังสหรัฐฯขู่จะคว่ำบาตรรัสเซียหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับยูเครน
คืนวันศุกร์ที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 1.5 แสนรายต่ำกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 1.59 แสนราย พร้อมกับอัตราการว่างงานที่ระดับ 4.1% มากกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดที่ 4% ในช่วงแรกหลังจากทราบผลพบว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับลง แต่หลังจากนั้นในช่วงเวลาเที่ยงคืนตามเวลาประเทศไทยประธาน FED ก็ได้ออกมาให้ข้อมูลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังแข็งแกร่ง สอดคล้องกับตลาดแรงงานที่ยังอยู่ในภาวะที่ดีเช่นกัน
ขณะที่เงินเฟ้อกำลังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เมื่อประกอบกับความไม่แน่นอนจากการค้าโลก FED จึงยังไม่เร่งรีบในการดำเนินนโยบาย โดยจะรอความชัดเจนและดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับภาวะที่เกิดขึ้น ทำให้ US Bond Yield กลับมาฟื้นตัวและราคาทองคำก็ปรับลดลง แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯกลับขึ้นมาปิดบวก
ด้านจีนในวันอาทิตย์ที่ผ่านมารายงานเงินเฟ้อหดตัว -0.7%YoY มากกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินว่าจะหดตัว -0.4%YoY สะท้อนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังไม่แข็งแกร่งมาก ระยะสั้นอาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นและเป็นลบกับกลุ่ม China Play (SCC SCGP PTTGC)
ด้านปัจจัยในประเทศวันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ได้เผยแนวทางสนับสนุนตลาดทุนด้วยแนวคิด TISA (Thailand individual saving) โดยให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและนำเม็ดเงินเหล่านั้นมาลดหย่อนภาษี เตรียมที่จะเสนอต่อกระทรวงการคลังในเร็วๆนี้ (ข้อแม้คือจะต้องถือจนถึงวัยเกษียณ) สำหรับ Model ข้างต้นนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในตลาดหุ้นญี่ปุ่นภายใต้ชื่อว่า NISA กล่าวคือให้ประชาชน (นักลงทุนรายย่อย) เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและนำเงินดังกล่าวไปลดหย่อนภาษี ข้อมูลที่พบคือมูลค่าลงทุนผ่าน NISA สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยปี 15 อยู่ที่ 6.4 ล้านล้านเย็น ปี 20 อยู่ที่ 21.6 ล้านล้านเยนและปี 24 อยู่ที่ 45 ล้านล้านเยน ผลกระทบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นพบว่าโครงการ NISA เกิดขึ้นในปี 14 และทำให้ในปีดังกล่าวตลาดหุ้น Nikkei +17% เทียบกับ MSCI world ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 4.3% แต่อย่างไรก็ตามรอติดตามเกณฑ์อีกทีหากกำหนดให้ถือหุ้นยาวจนเกษียณก็อาจเป็นระยะเวลาที่ยาวนานและอาจทำให้ผู้ลงทุนมิได้เยอะมาก แต่ทั้งนี้ คาดว่าหุ้นขนาดใหญ่จะรับผลบวก (SET50 , SET100)
สัปดาห์นี้ปัจจัยติดตามได้แก่เงินเฟ้อสหรัฐฯในคืนวันพุธช่วงเวลา 19.30 ตามเวลาประเทศไทย Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 2.9%YoY , 0.3%MoM ถัดมาดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐฯในคืนวันพฤหัสบดี Bloomberg คาดไว้ที่ 0.3%MoM ประเมินกรอบ SET INDEX ที่ 1185 – 1230 กลยุทธ์การลงทุนยังแนะสะสมแต่เน้นหุ้นขนาดใหญ่ตามความสามารถในการแข่งขันที่สูง อาทิ ส่งออก (ITC TU) ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ท่องเที่ยว (BA CENTEL MINT) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB)
CENTEL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 38.00 บาท)
ประกาศกำไรปกติใน 4Q24 ที่ 667 ล้านบาท (+23% YoY, +220% QoQ) สูงกว่าที่เราและตลาดคาด 34%/20% จากรายได้ธุรกิจหลัก และผลกำไรกิจการร่วมค้าที่เติบโตดีกว่าคาด โดยเรามองการเติบโตที่ต่อเนื่องไปยังปี 2025 ด้วย 1) การเติบโตของ RevPar ที่คาดสูงขึ้นจากเปิดให้บริการโรงแรมที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เต็มรูปแบบ 2) โรงแรมญี่ปุ่นที่ได้รับอานิสงค์จากงาน World Expo Osaka 2025 คาดหนุนอัตราการเข้าพักเติบโต
TU (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 17.60 บาท)
ผลประกอบการปี 25 ของ TU ยังเห็นการเติบโตได้ แต่ไม่มากนักเพราะได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 300-350 ล้านบาท เบื้องต้นเราคาดกำไรสุทธิใหม่ที่ 5,012 ล้านบาท (+1%YoY) โดยทางผู้บริหารจะหันมาเน้นการเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นด้วยการตั้งเป้าเติบโต 3-4% ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอาหารแช่แข็งที่สิ้นสุดมาตรการ Right Sizing แล้ว หรือธุรกิจอาหารแปรรูปที่จะเน้นสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเองมากขึ้นโดยเฉพาะที่ยุโรป อย่างไรก็ตามการเติบโตดังกล่าวจะเริ่มเห็นในช่วง 2Q25 เป็นต้นไป
#บลพาย #หุ้น #SET #ข่าววันนี้ #หุ้นไทย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์