นายกฯอิ๊งค์ ย้ำ เพื่อไทย-มิใจไทยไม่ขัดแย้ง ยันไม่มีล็อบบี้ ประธานสภา ถอดชื่อ ทักษิณ พ้นญัตติซักฟอก ติงไม่ควรเอ่ยชื่อบุคคลที่ 3 ด้าน วันนอร์ ยัน เท้ง เห็นแย้งได้ ลั่นญัตติอยู่ในกรอบ 7 วัน ด้านนิด้าโพล ระบุ ปชช.เชื่อซักฟอกทำอะไร นายกฯอิ๊ง ไม่ได้ ยังอยู่เหมือนเดิม มองฝ่ายค้าน ควรเปิดอภิปรายฯนายกฯ-ครม. ทั้งคณะ 3 วันเหมาะสม
เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 9 มีนาคม 2568 ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณี ร่วมหารือที่บ้านจันทร์ส่องหล้า กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี , นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ภท.) และนายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย มีอะไรสามารถเปิดเผยได้หรือไม่ ว่า คุยทุกเรื่องที่จำเป็น ทั้งในเรื่องนโยบาย และพูดคุยกันว่าคิดเห็นอย่างไร เดินอย่างไรต่อ ควรเดินอย่างไรกันดี เป็นสิ่งที่ได้ปรึกษากัน
นายกฯ กล่าวว่า ส่วนที่วันนั้นเป็นการพูดคุยแค่กับพรรคภูมิใจไทยนั้น อย่างที่เคยบอกเรานัดคุยกัน หากคุยที่ละพรรคที่ละกลุ่มจะคุยรายละเอียดได้มากกว่า วันนั้นนายอนุทิน ไปเจอนายทักษิณ ก่อนอยู่แล้วซึ่งเจอกันเรื่อยๆอยู่แล้ว ฉะนั้นการไปไม่ได้แปลกใหม่ไม่ได้มีสัมภาษณ์หรือถามอะไรเกิดขึ้น ไปเรื่อยๆกันอยู่แล้วและความจริงอยากให้นัดกันบ่อยด้วยซ้ำเพื่ออัพเดตว่าเนื้องานไปถึงไหน เพราะนายอนุทินนอกจากเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยังเป็นรมว.มหาดไทย มีอีกหลายอย่างที่อยู่ในความรับผิดชอบของท่านฉะนั้นต้องพูดคุยกัน และความจริง ยังมีรองนายกฯอีกหลายท่านที่ต้องคุยแยกเช่นกัน เพราะมีความรับผิดชอบภายใต้รองนายกฯเยอะ การพบกันไม่มีอะไรเกินความคาดหมาย
เมื่อถามว่าจากนี้จะเห็นความร่วมมือ ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทยจะเป็นไปทิศทางเดียวมากขึ้นหรือไม่หลังการพบกันครั้งนี้ เพราะก่อนหน้านี้เหมือนขัดแย้งกัน น.ส.แพทองธาร ตอบว่า จริงๆไม่ได้มีอะไรที่ขัดแย้งกันที่เป็นเรื่องเป็นราว มีเรื่องที่เห็นไม่ตรงกันอย่างที่เคยบอกไป เราก็เลยมาตกลงกันว่าเราจะเดินอย่างไรกันต่อ เพราะมันไม่ได้เป็นความขัดแย้งที่ขัดแย้ง เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน บางเรื่องผู้ประสานงานระหว่างกลางของพรรคภูมิใจไทยกับเพื่อไทยบางทีไม่ได้ประสานกันชัดเจน ถือเป็นปัญหาหนึ่งที่ต้องแก้ เพราะบางทีตนกับนายอนุทินคุยกันแล้วแบบหนึ่งแต่พอไปประสานลงไปข้างล่างก็อีกแบบหนึ่งมันก็มีความผิดพลาดทางการสื่อสารด้วย ฉะนั้นต้องจัดกันใหม่ว่าใครจะคุยแบบไหน เพราะบางทีงานแบบนี้ต้องคุยกันหลายคน
เมื่อถามถึงกรณีประธานสภาฯมีหนังสือให้พรรคร่วมฝ่ายค้านนำชื่อบุคคลที่สามคือนายทักษิณ ออกจากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการล็อบบี้ให้เอาชื่อออกหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎ กระบวนการ และระบบของรัฐสภา ถ้าจะล็อบบี้อะไรแบบนี้ได้สบายเลย ล็อบบี้ไม่ได้หรอกทุกอย่างเป็นตามกฎที่เขาตั้งไว้ หากไม่มีกฎไม่มีหลักเราก็เอาชื่อใครเข้าก็ได้ จะไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ยืนยันทุกอย่างเป็นตามกฎ ไม่มีการล็อบบี้
เมื่อถามอีกว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการนำชื่อคนนอกมาใส่ในญัตติ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ไม่ควรนะคะ ถ้าจะพูดถึงใครคนนั้นต้องมีสิทธิโต้ตอบชี้แจง ถ้าเขาไม่อยู่ในนั้นแล้วพูดถึงเขาผ่านปาวๆ ผ่านทีวีแล้วเขาจะทำอย่างไร ซึ่งมันไม่สมควร แต่ไม่ทราบจริงๆอย่างที่บอกกฎหมายไม่แน่น ก็ให้ประธานสภาฯว่าไปตามนั้นเลย
เมื่อถามว่าในฐานะนายกฯเจนวาย พร้อมใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า พร้อม เดี๋ยวจะคอยหาข้อมูลเพิ่มเติมไปเรื่อยๆว่าฝ่ายค้านจะถามอะไรและอภิปรายเรื่องอะไร จะพยายามเตรียมคำตอบให้ครบเพราะไม่อยากไปถึงแล้วคำตอบไม่ครบ ส่วนกรอบวันอภิปรายนั้นตนยังไม่ทราบว่าตกลงกี่วันกันแน่
เมื่อถามว่าจะสองวันสามวันก็พร้อมใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร จึงถามกลับว่า เรามีสิทธิเลือกหรือไม่อยากรู้ แต่ไม่ทราบให้ตกลงกันเลย
ด้าน นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ให้ฝ่ายค้านกลับไปแก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า ฝ่ายค้านสามารถโต้แย้งได้โดยจะต้องดูเหตุผลข้อโต้แย้งที่จะนำส่งกลับมา ซึ่งหลังจากนั้นตนจะปรึกษากับฝ่ายกฎหมายต่อไป ส่วนชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯในข้อบังคับสภาระบุไว้อยู่แล้วว่าห้ามกล่าวถึงบุคคลภายนอกโดยไม่จำเป็น
แค่กล่าวเขาก็ห้ามอยู่แล้ว แต่นี่เขียนเป็นญัตติชัดเจนยิ่งกว่ากล่าว แบบนี้จะนำไปสู่การประท้วงวุ่นวายในสภา ประธานเองก็ต้องรับผิดชอบในฐานะที่อนุญาตให้ญัตติที่มีชื่อบุคคลภายนอกเข้าไป ถ้ามีการฟ้องร้อง ประธานก็ต้องเป็นจำเลยในการฟ้องร้องด้วย ไม่อยากให้มีเหตุการณ์อะไรที่มันเกิดขึ้นในลักษณะนี้ ความจริงฝ่ายค้านสามารถจะอภิปรายได้ในทุกเรื่องอยู่แล้ว ยกเว้นที่ข้อบังคับเขาห้าม นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว
เมื่อถามว่ามีประเด็นเรื่องหนังสือด่วนที่ทำถึงผู้นำฝ่ายค้านฯ เลย 7 วันที่ยื่นญัตติไปแล้ว ทำให้ประธานไม่มีอำนาจสั่งให้แก้ไขญัตติ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ไม่ได้เลย เขาจะนับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นนับจากวันที่ยื่นเป็นวันที่ 1 และตนได้แจ้งนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านฯ ไปตั้งแต่วันที่ 6 มี.ค. แล้ว ซึ่งอยู่ในระยะเวลากรอบ 7 วัน ส่วนวันที่ 7 มี.ค. เป็นเรื่องขั้นตอนหนังสือ
วันที่ 6 มี.ค. ผมได้เชิญผู้นำฝ่ายค้านฯมารับทราบตามที่เจ้าหน้าที่รายงานมาทุกอย่างแล้ว รวมถึงมีประชุมฝ่ายกฎหมายแล้วว่าขอให้รับทราบ ให้เอาไปแก้ไขด้วย ในเรื่องชื่อบุคคลภายนอก ซึ่งถือว่ารับทราบแล้ว เมื่อผู้นำฝ่ายค้านไม่ได้นำญัตติกลับไป ผมก็ทำหนังสือออกไปว่าขอให้แจ้งผู้นำฝ่ายค้านฯให้รับทราบแล้ว ก็ถือว่ารับทราบแล้ว วันที่ 6 มี.ค.ช่วงบ่ายๆ ผมก็แจ้งไปแล้ว วันที่ 7 มี.ค. นี้ เป็นขั้นตอนหนังสือเท่านั้น การจะแจ้งให้ทราบ แจ้งด้วยวาจาก็ได้ หรือแจ้งเป็นหนังสือ ได้มีการเชิญมาให้ความเข้าใจ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว
นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวต่อว่า ด้วยความเคารพ ตนต้องการสร้างความเข้าใจกันก่อนกับผู้นำฝ่ายค้านฯ หากจะเอาไปแก้ก็เอาไปแก้ แต่หากไม่แก้ก็ต้องยืนยันกันตามที่ได้คุยไปแล้ว
เมื่อถามว่านายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน ระบุว่าประธานสภาทำให้ถูกต้อง ไม่มีกฎหมายรองรับ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า เป็นความคิดเห็นของนายพริษฐ์ ทุกคนคิดเห็นได้ ประธานก็มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น และอาศัยข้อกฎหมายประกอบต่างๆก่อนตัดสินใจ
เมื่อถามว่าต้องเรียกทั้ง 3 ฝ่าย รัฐบาล ฝ่ายค้าน คณะรัฐมนตรี (ครม.) มาคุยกันหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า วิป 3 ฝ่ายเป็นเรื่องของการตกลงเรื่องอื่น แต่อำนาจในการบรรจุวาระเป็นของประธาน ดังนั้น มีอำนาจบรรจุหรือไม่บรรจุก็ได้ ประธานสภาฯก็ไม่ได้ตัดสินอย่างเดียว ก็ฟังจากหลายฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกฎหมาย ข้อบังคับการประชุม เลขาธิการสภาฯ รวมไปถึงนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภา คนที่หนึ่ง ซึ่งได้รับมอบหมายให้พิจารณาเรื่องญัตติ กระทู้ ซึ่งต้องให้ความเห็นเบื้องต้น
เขาให้ความเห็นมาเรียบร้อยแล้วว่าการกล่าวถึงบุคคลภายนอกจะเป็นประเด็น เรื่องข้อบังคับและความสงบเรียบร้อยในที่ประชุม ก็แจ้งมาให้ประธานทราบ ประธานก็เห็นด้วยตามนั้น จึงเรียกผู้นำฝ่ายค้านฯ มารับทราบตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 6 มี.ค. นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว
ส่วน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ ป.ป.ช. รีบตรวจสอบนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่ามีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 วรรคหนึ่ง (1) หรือไม่ และเพื่อประโยชน์ในการทำหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ขอให้ ป.ป.ช. มีหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎรให้รีบบรรจุญัตติดังกล่าวตามมาตรา 151 แห่งรัฐธรรมนูญ โดยเร็วด้วย
นายเรืองไกร กล่าวว่า เรื่องนี้ใช้แค่การนับเลขในเอกสารเพียงแค่ 3 แผ่น กับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ข้อข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 และมาตรฐานทางจริยธรรมของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 มาประกอบคำร้อง ก็เพียงพอที่จะยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ได้แล้ว ดังนี้
ข้อ 1. เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2568 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ได้เสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กราบเรียนประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 151ไปแล้วนั้น ข้อ 2. ต่อมาเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2568 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ สผ 0014/2559 เรื่อง ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เรียน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ โดยอ้างถึงหนังสือลงวันที่ 27 ก.พ. 2568 ไว้โดยชัดแจ้ง ซึ่งในหนังสือที่ สผ 0014/2559 มีความว่า
ตามที่ท่านกับคณะได้เสนอญัตติขอเปิดขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ นั้น ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าการระบุชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาญัตติอาจทำให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย เนื่องจากไม่สามารถชี้แจงในที่ประชุมสภาได้ จึงขอให้ท่านแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวโดยนำรายชื่อบุคคลภายนอกออกจากเนื้อหาญัตติ ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 176 จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการ
ข้อ 3. การที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรขอให้นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวโดยนำรายชื่อบุคคลภายนอกออกจากเนื้อหาญัตติ โดยกล่าวอ้างตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 176 นั้น อาจขัดต่อข้อบังคับดังกล่าว เนื่องจาก ข้อ 176 กำหนดว่า ข้อ 176 เมื่อประธานสภาได้รับญัตติตามข้อ 175 แล้ว ให้ทำการตรวจสอบ หากมีข้อบกพร่องให้ประธานสภาแจ้งผู้เสนอทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับญัตติ เมื่อประธานสภาได้ตรวจสอบความถูกต้องของญัตติแล้ว ให้บรรจุเข้าระเบียบวาระ การประชุมเป็นเรื่องด่วนและแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ
ข้อ 4. ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในหนังสือด่วนที่สุด ที่ สผ 0014/2559 ซึ่งลงวันที่ 7 มี.ค. 2568 นั้น ได้อ้างถึงหนังสือของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิกับคณะ ลงวันที่ 27 ก.พ. 2568 ไว้โดยชัดแจ้ง ดังนั้น หนังสือด่วนที่สุด ที่ สผ 0014/2559 ลงวันที่ 7 มี.ค. 2568 ที่กล่าวอ้างถึงข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 176 ซึ่งนับจากวันที่ 27 ก.พ. 2568 ที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้รับญัตติตามข้อ 175 แล้ว แต่มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ สผ 0014/2559 ซึ่งลงวันที่ 7 มี.ค. 2568 นั้น จึงเป็นการตรวจสอบญัตติดังกล่าวโดยกล่าวอ้างว่ามีข้อบกพร่องซึ่งเป็นการตรวจสอบข้อบกพร่องที่ไม่อยู่ในกำหนดเวลาเจ็ดวันที่บังคับไว้ตามข้อ 176 เพราะนับจากวันที่ 27 ก.พ. ถึง 7 มี.ค. 68 ยังไงก็เกินเจ็ดวันแน่นอน ดังนั้น การกล่าวอ้างว่าตรวจสอบข้อบกพร่องแล้วมีการอ้างถึงบุคคลภายนอกนั้น จึงอาจเป็นการที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรใช้หน้าที่และอำนาจโดยไม่ชอบ ตามข้อบังคับ ข้อ 9 (6) และอาจวางตัวไม่เป็นกลางตามข้อ 9 (1) ด้วย
ข้อ 5. รัฐธรรมนูญ มาตรา 119 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า มาตรา 119 ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภามีหน้าที่และอำนาจดำเนินกิจการของสภานั้น ๆ ให้เป็นไปตามข้อบังคับ