สว.สงขลา ชี้ การก่อวินาศกรรมใน อ.สุไหงโก-ลก คือความล้มเหลวของ "การข่าว"การรักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการ และการไล่ล่า กองกำลังติดอาวุธของ"รบพิเศษ" ชี้ ถึงเวลาต้องมี"กฎหมายการก่อการร้าย" และ"รั้วชายแดนไทย มาเลเซีย"
วันที่ 9 มี.ค.68 นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา เลขานุการธรรมธิการทหารและความมั่นคงของรัฐ กล่าวถึงการก่อเหตุความไม่สงบจาก กองกำลังติดอาวุธ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน บีอาร์เอ็น ซึ่งโจมตี ที่ว่าการอำเภอ และ ศาลาประชาคม อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ทำให้ เจ้าหน้าที่ กองอาสารักษาดินแดนเสียชีวิตจำนวน 2 นาย และมีประชาชนได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
โดยสาเหตุของความสูญเสียครั้งนี้มาจาก ความล้มเหลวของเจ้าหน้าที่รัฐ 1 .ความล้มเหลวในงานด้านการข่าว การที่ แนวร่วม และ กองกำลังติดอาวุธ ของ บีอาร์เอ็น สามารถประกอบกำลังพร้อม ระเบิดคาร์บอมบ์ และอาวุธ กำลังคนเข้าโจมที่ สถานที่ราชการ และ สถานที่อื่นๆ รวม 4-5 จุด ในพื้นที่เดียวกัน ต้องมีการเคลื่อนไหว งานการข่าวของเจ้าหน้าที่ต้องมี วันนี้ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีหน่วยงานต่างๆ เช่น กองข่าว กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ตำรวจพื้นที่ ตำรวจสันติบาล ฝ่ายปกครอง สำนักข่าวกรอง ข่าวกรองสำนักนายก เดินกันขวักไขว่ เพื่อทำงานการข่าว และมีงบประมาณในการทำข่าวของหน่วยงานความมั่นคงปีละ 40 ล้าน แต่ทุกหน่วยไม่พบเห็นความเคลื่อนไหวของ กองกำลังติดอาวุธ ไม่มีใครได้ระแคะระคาย การเข้า ก่อวินาศกรรม ของ บีอาร์เอ็นในครั้งนี้
ส่วน 2.การรักษาความปลอดภัย ของหน่วยที่ตั้ง การรักษาความปลอดภัยในเมืองเศรษฐกิจที่เป็น 8 เมืองหลักในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ล้มเหลว เพราะ อ.สุไหงโก-ลก คือหนึ่งใน 8 หัวเมืองเศรษฐกิจ ที่ก่อนหน้าที่นี้มีการประชุมให้มีการรักษาความปลอดภัยในห้วงของเดือนรอมฎอน แต่จากสภาพที่เห็น ไม่มีอะไรที่เรียกว่ามีการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ แม้แต่ สถานที่ราชการ ก็ไม่มีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด แสดงให้เห็นว่า ทุกหน่วยไม่ได้ให้ความสนใจในการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษในเดือนรอมฏอนแต่อย่างใด
ขณะที่ 3. กองกำลังพิเศษ จากส่วนกลาง ที่ลงมาทำงาน ในการติดตาม ไล่ล่า กองกำลังติดอาวุธ ที่เคลื่อนไหวอยู่ใน จ.นราธิวาส ซึ่งติดตาม กองกำลังติดอาวุธ ที่ วางระเบิดและยิงครู ตชด.สองพ่อลูก ที่ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ผ่านมาแล้ว 2 เดือน ยังไล่ล่าไม่พบกับ กองกำลังติดอาวุธ ที่มีอยู่เพียง 7-8 คน ที่ เคลื่อนไหว อยู่ใน เทือกเขาตะเว ก็ยังไล่ไม่จบ แสดงให้เห็นถึงความ ล้มเหลว ในด้าน ยุทธวิธี ในการรบแบบสงครามกองโจร
โดย 4.ก่อนที่จะถึงเดือดรอมฎอน พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ที่รัฐบาลแต่งตั้งให้ เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติภาพคนใหม่แทนนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้พบกับ แกนนำของขบวนการบีอาร์เอ็น และ ผู้นำศาสนาที่มีความสัมพันธ์กับขบวนการบีอาร์เอ็น รวมทั้งเดินทางไปยังรัฐกลันตัน เพื่อพบกับแกนนำฝ่ายการเมืองของบีอาร์เอ็น เพื่อขอความร่วมมือให้ 30 วัน ของเดือนรอมฎอนเป็นเดือนแห่งสันติ เช่นเดียวกับที่มีตัวแทนของ สมช. ก็มีการเข้าไปที่รัฐกลันตัน ขอพบกับแกนนำของ บีอาร์เอ็น เพื่อขอให้อย่ามีการก่อการร้ายในเดือนรอมฎอน โดยมีการรับปากว่าจะให้ความร่วมมือ
ทั้งนี้ จาก ปฏิบัติการ เมื่อคืนวันที่ 8 ทั้งที่ อ.สุไหงโก-ลก อ.สุไหงปาดี และที่ อ.สายบุรี โดยที่ อ.สายบุรี มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต จำนวน 3 นาย แสดงให้เห็นว่า การพูดคุยกับ แกนนำฝ่ายการเมืองของบีอาร์เอ็น และการพูดคุยกับผู้นำศาสนาในพื้นที่ไร้ผล เพราะ บีอาร์เอ็นที่กุมอำนาจฝ่ายทหาร ที่มีนายนิเซะ นิฮะ เป็นผู้นำ ไม่เห็นด้วย และได้แสดงออกโดยการก่อเหตุครั้งใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 ที่ผ่านมา ก็มีการส่งสัญญาณ ด้วยการขว้างระเบิดไปป์บอมบ์ ใส่จุดตรวจตำรวจ สภ.เมืองยะลา ในถนนพาดรถไฟ เขตเทศบาลเมืองยะลา ทำให้มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 5 คน และมีการขว้างระบิดใส่วัดคูหาภิมุข ต.ท่าสาป จ.ยะลา มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 2 คน แต่หลังจากเกิดเหตุ หน่วยงานของรัฐ ก็ไม่ได้มีการป้องกันหน่วยเป็นพิเศษแต่อย่างใด
ขณะที่ข้อเท็จจริง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ รบพิเศษ ที่ถูกส่งมาสนับสนุนภารกิจของกอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า รวมทั้ง ตำรวจ และ ฝ่ายปกครอง ต่างรู้ดีว่า ในห้วงของเดือนรอมฎอน บีอาร์เอ็น จะมีการก่อการร้าย ที่มากกว่าเดือนอื่นๆ เพราะการบ่มเพราะโดย อุสต๊าซ หรือ ครูสอนศาสนาของบีอาร์เอ็น ต่อ เยาวชน และ แนวร่วม ว่าการก่อเหตุฆ่าศัตรูในเดือนรอมฎอน ผู้ลงมือจะได้บุญกว่าการก่อเหตุในเดือนอื่นๆถึง 10 เท่า การก่อเหตุครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า บีอาร์เอ็น ยังประสพความสำเร็จ ในการบ่มเพาะ ให้ แนวร่วม และ กองกำลังติดอาวุธ ลงมือก่อเหตุในเดือนรอมฎอน โดยใช่เรื่องศาสนามาบิดเบือน
สำหรับสาเหตุที่ บีอาร์เอ็น พุ่งเป้า ไปที่ กองอาสารักษาดินแดน เพราะ บีอาร์เอ็น รู้ว่า ยุทธศาสตร์ของ หน่วยงานความมั่นคงคือการ สร้างกองกำลังอาสารักษาดินแดน ให้มีความ เข้มแข็ง เพื่อให้แทนที่ กองกำลังของทหารในปี 2570 โดยจะมีการถอนทหารออกจากพื้นที่ และมอบพื้นที่ในการรักษาความปลอดภัยให้แก่ กองกำลังอาสารักษาดินแดน และ อาสาสมัครทหารพราน บีอาร์เอ็น จึ่งมุ่งการโจมตีไปที่ กองกำลังอาสารักษาดินแดน ซึ่งยังเป็นจุดอ่อน และให้ อาสารักษาดินแดนหวาดกลัว รวมทั้งเป็นการทำลายแผนที่ หน่วยความมั่นคงต้องการใช้กองอาสารักษาดินแดนมาแทนที่ทหาร จะเห็นว่าที่ผ่านมาใน 4-5 เดือน บีอาร์เอ็น มีการส่ง จดหมาย และมีการ แขวนป้ายผ้า มีการ พ่นสีตาม ถนน สะพาน ข่มขู่ให้ กองอาสารักษาดินแดนลาออก ก่อนที่จะไม่มีชีวิตอยู่
สุดท้าย การก่อเหตุของ บีอาร์เอ็น อย่างถี่ยิบ มาจากที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปขอร้องขอความร่วมมือกับ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ให้ช่วยยุติความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยการบีบบังคับให้ แกนนำบีอาร์เอ็น ยุติการก่อเหตุ และให้เข้าสู้การเจรจาสันติภาพ แต่ บีอาร์เอ็นฝ่ายทหารไม่เห็นด้วย และมีการประกาศว่าถ้า รัฐบาลกลางของมาเลเซีย บีบบังคับ บีอาร์เอ็นที่ มีฐานที่มั่นในรัฐกลันตัน บีอาร์เอ็น ก็จะ ก่อเหตุในสามจังหวัดให้รุนแรงยิ่งขึ้นเป็นการตอบโต้การเข้ามาของนายทักษิณ ชินวัตร
ดังนั้น การก่อเหตุที่ อ.สุไหงโก-ลก นอกจากความ ล้มเหลวทุกด้าน ของการแก้ปัญหาไฟใต้แล้ว ยังเป็นการ ล้มเหลว ครั้งแรกของ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ที่ มารับตำแหน่ง หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุข ที่ต้องการแสดงผลงานให้เห็นว่ามีความสามารถในการพูดคุยกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้เดือนรอมฎอนของปีนี้เป็นเดือนรอมฎอนที่สันติไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น
พร้อมกันนี้ นายไชยยงค์ กล่าวว่า ประเด็นสำคัญ ที่รัฐบาลชุดนี้ต้องตัดสินใจคือการที่ต้องมี เครื่องมือให้ หน่วยงานความมั่นคง ตำรวจ ทหาร ใช้ในการ ดับไฟใต้ นั้นคือต้องมีกฎหมายการก่อการร้าย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือของการแก้ปัญหา เพราะ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องการก่อความไม่สงบ การใช้ กฎหมายทั่วไปอย่าง ป.วิอาญา ไม่สามารถ รับมือกับ รูปแบบการก่อการร้ายได้ และการใช้กฎหมายที่ ล้าหลัง อย่าง พรบ.ความมั่นคง พรก.ฉุกเฉิน และ กฎอัยการศึก เป็นการสร้างเงื่อนไข ให้ฝ่าย บีอาร์เอ็น และ เอ็นจีโอ องค์กรสิทธิมนุษย์ชน และ องค์การภาคประชาสังคม ที่เป็นปีกทางการเมืองของบีอาร์เอ็น ได้ประโยชน์ในการ โจนจี รัฐบาล และ หน่วยงานความมั่นคง
รวมทั้ง วันนี้ รัฐบาล และ หน่วยงานความมั่นคง ต้องตัดสินใจในการ สร้างรั้วถาวร กั้นพรมแดนระหว่างในพื้นที่ของ อ.ตากใบ และ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ระยะทาง 160 กิโลเมตร ของแม่น้ำสุไหวโก-ลก ซึ่งเป็นพื้นที่มีการปักปันชายแดนแล้ว เพื่อการป้องกัน กองกำลังติดอาวุธ ที่ข้ามมาจากฝั่งกลันตันเพื่อมาก่อเหตุ หลังก่อเหตุก็ข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลกกลับไป กลันตัน รวมทั้ง ระเบิดแสวงเครื่อง ที่ใช้ในการก่อวินาศกรรม ถูกนำมาจาก ฝรั่งกลันตันเป็นส่วนใหญ่ เพื่อใช้ในการก่อเหตุถ้ามีการสร้างรั้วชายแดน สถานการณ์การก่อการร้ายอาจจะลดลงได้