ผู้สื่อข่าวรายงานจากหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อวันเสาร์ที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา เครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ได้จัดเวทีเครือข่ายประชาธิปไตย (ครั้งที่ 6) เรื่อง "ทุนผูกขาดกับการแทรกแซงองค์กรภาครัฐชำแหละ กสทช.และข้อเสนอจากภาคประชาชน" เนื่องในวันสตรีสากล โดยได้ย้อนรอยถึงคำพิพากษาศาลที่ให้จำคุก "กสทช.พิรงรอง" เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งภาคประชาชนหลายองค์กรต่างจับตาเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งถือว่าเข้าข่ายเป็นการฟ้องเพื่อปิดปากผู้ปกป้องสิทธิประโยชน์ของประชาชน ขณะที่คำพิพากษาฉบับสมบูรณ์ที่ออกมาเห็นได้ชัดว่า มีความไม่สมบูรณ์ก่อให้เกิดการวิพากษ์ในวงกว้าง และมีความโน้มเอียงที่จะเป็นการคุกคามการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ พร้อมบี้นายกฯ ฟันปมประธาน กสทช.ขาดคุณสมบัติ หากยังไม่ดำเนินการใด ๆ โดยปล่อยให้มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบมากว่า 8 เดือน เรื่องนี้ ถ้ามีการร้อง ป.ป.ช. นายกรัฐมนตรีอาจหลุดจากตำแหน่ง
 
นางลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ ประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า อาจารย์พิรงรองเป็นผู้หญิงหนึ่งเดียวที่ได้รับคัดเลือกให้เป็น กสทช. ต้องยืนหยัดต่อสู้อยู่เพียงลำพัง และก็มีชะตากรรมที่ไม่ต่างจาก น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ อดีต กสทช.อีกคนที่ก็โดนกระทำจนต้องพ้นตำแหน่งมาแล้ว เพราะกลุ่มทุนผูกขาดทุนการเมืองพยายามเล่นงาน

ส่วนความพยายามในการสกัดกั้นและหยุดการทำหน้าที่ของ กสทช.พิรงรอง โดยเฉพาะที่มาจากตัวประธานกสทช.ด้วยนั้น ก็น่าคิดว่าตัวประธาน กสทช.คือ ศ.คลินิกนพ.สรณบุใบชัยพฤกษ์ ก็มีปัญหาในเรื่องขาดคุณสมบัติการเป็นกรรมการ กสทช.มาตั้งแต่แรก ซึ่งเรื่องนี้ทาง ครป.เองก็เข้าร่วมยื่นเรื่องร้องเรียนต่อวุฒิสภาเพื่อให้ตรวจสอบเรื่องมาตั้งแต่แรก โดยผลการตรวจสอบของกรรมาธิการ วุฒิสภาก็ออกมาชัดเจนว่า ขณะได้รับแต่งตั้งให้เป็น กสทช.นั้น.นพ.สรณ ยังคงเป็นพนักงานของมหาวิทยาลัยและยังเป็นลูกจ้างอิสระรับเงินเดือนเอกชนอยู่ มีหลักฐานเสียภาษี ภงด.90 ชัดเจน ซึ่งล่าสุดเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เลขา ครป.ยังได้ยื่นเรื่องต่อนายกฯเพื่อให้เร่งรัดเนินการเรื่องนี้ แต่เรื่องกลับยังคงนิ่งเงียบชี้ให้เห็นถึงกลุ่มทุนที่เข้าแทรกแซงองค์กรอิสระชัดเจน

น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.)กล่าวว่า ความพยายามในการกำจัด กสทช.พิรงรองออกจาก กสทช.นั้นเป็นการประสานความร่วมมือระหว่างกลุ่มทุนผูกขาด ทุนการเมืองและสำนักงาน กสทช.ที่เป็นลูกน้องในองค์กรด้วย เพราะเกรงว่าข่าวสารต่างๆที่หลุดออกมาปรากฏในสื่อในเรื่องไม่ชอบมาพากลทั้งหลายอาจหลุดมาจาก กสทช.พิรงรอง จึงอยากกำจัดให้พ้นทางไป เห็นได้จากพอบริษัทเอกชนไปฟ้องศาลก็รีบขอให้ศาลสั่งให้ กสทช.พิรงรองหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที แต่เมื่อไม่ได้ก็พยายามหาทางฟ้องเพื่อหวังให้ถูกตัดสินจำคุกโดยไม่รอลงอาญาเพื่อหวังจะให้ติดคุกให้ได้ แม้เพียง 1 วันก็เอาเพราะจะมีผลให้ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที
 
ขณะที่กรณีคุณสมบัติของประธาน กสทช.ก็เห็นได้ชัดว่ามีกระบวนการช่วยเหลือกันในทุกวิถีทางที่จะถ่วงเวลาไม่ให้ประธานหลุดจากตำแหน่ง ทั้งจากกลุ่มทุนผูกขาดและการเมือง เพราะแม้มีผลตรวจสอบในเรื่องคุณสมบัติของประธานกสทช.ออกมาชัดเจนว่าขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่แรก แต่ฝ่ายการเมืองยังคงพยายามถ่วงเวลาเอาไว้ เพื่อเป้าหมายบางประการ

รสนา กล่าวย้ำว่า หากประธานกสทช.ต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่แรกเสมทอนไม่เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น กสทช.มาก่อนจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ประธานดำเนินการไว้ในอดีตจะกลายเป็นโมฆะทั้งหมดใช่หรือไม่ โดยเฉพาะกรณีอนุมัติการควบรวมกิจการสื่อสารเมื่อเดือน มี.ค.66 ก็อาจต้องโมฆะลงไปด้วย เพราะขณะนั้นเสียงก้ำกึ่งกัน 2:2 โดย กสทช.2 คนคัดค้าน อีก 2 คน เห็นด้วย แต่เลี่ยงไปใช้คำว่ารับทราบรายงานควบรวม ทำให้ประธาน กสทช.ต้องออกเสียงดับเบิ้ลโหวต 2 ครั้งจนชนะไป
 
"แต่หากประธานกสทช.ต้องหลุดจากตำแหน่งไป เพราะขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่แรกย่อมกระทบไปถึงผลโหวตการควบรวมกิจการ "ทรู-ดีแทค"ในครั้งนั้นด้วย นี่ต่างหากคือเหตุผลที่ทำให้กลุ่มทุนผูกขาด ทุนการเมืองพยายามถ่วงเวลาให้ประธานยังคงทำหน้าที่ต่อไป เพื่อจะได้รวมหัวกันช่วงชิงทรัพยากรของชาติไปอยู่ในมือของกลุ่มตน"

นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตประธานกรรมการนโยบาย ThaiPBS กล่าวว่า กสทช.เกิดมาก็เพื่อกำกับดูแลกิจการสื่อสารโทรคมนาคมและกิจการวิทยุโทรทัศน์ให้มีการแข่งขันกันให้มากที่สุดเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ลดการผูกขาด แต่การเกิด กสทช.ก่อนหน้ายังตามไม่ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ แพลตฟอร์มใหม่ๆที่เกิดขึ้นมา อย่างกรณีการให้บริการทรูไอดี ที่ไม่ได้ทำแค่วีดีโอดีมานด์ แต่ยังเอาเนื้อหาดิจิทัลทีวีทั้งหลายเข้ามาแพร่ภาพด้วยโดยสอดแทรกโฆษณาลงไปจนมีผู้บริโภคร้องเรียนกสทช. เมื่อ กสทช.ตั้งอนุกรรมการขึ้นตรวจสอบเรื่องนี้ ก็รู้ตัวดีว่ายังไม่มีอำนาจจะไปกำกับดูแลบริการทรูไอดีที่เป็นบริการOTT จึงต้องกำชับไปยังผู้ให้บริการดิจิทัลทีวีให้ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ กสทช.มีอยู่โดยเคร่งครัด อันเป็นที่มาของคำว่า"ตลบหลัง"ที่ศาลเข้าใจว่าใช้อำนาจในทางที่มิชอบ

นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลที่ผู้ฟ้องไปนำเอารายงานการประชุมภายใน กสทช.มาฟ้อง และหยิบยกคำพูดของ กสทช.บางคำมาเป็นประเด็นโดยศาลใช้คำว่า ข้อต่อสู้ของจำเลยที่มีตำแหน่งเป็นถึงศาสตราจารย์เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ก่อนจะมีคำพิพากษา ทำให้สังคมคลางแคลงใจและอดคิดไม่ได้ว่า เหตุใดคนระดับศาสตราจารย์ที่ต้องต่อสู้ หอบเอกสารหลักฐานไปให้การในศาล จึงถูกมองว่าหยิบยกเอาข้ออ้างลอยๆ มาต่อสู้ ทั้งๆที่การประชุมอนุกรรมการ กสทช.นั้นมีที่มาที่ไป การควบรวมกิจการโทรคมนาคมที่อาจารย์พิรงรองเคยคัดค้านก่อนหน้านั้นจนเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งและถูกกดดันตามมานั้น ที่จริงยังไปไม่สุด อนาคตการควบรวมกิจการคงไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่ยังจะไปไกลกว่านี้อีกมาก
"กรณีฟ้องพิรงรองนั้นมีการตั้งธงเอาไว้ ซึ่งธงที่ว่าก็คือ กสทช.พิรงรองเป็นคนขวางผลประโยชน์ ทำให้ฝ่ายที่เสียผลประโยชน์จากการฉกฉวยเอาเนื้อหาเอาคอนเทนต์คนอื่นไปหากินทำได้ยาก จึงหาทางฟ้องเพื่อเขี่ยพิรงรองออกจาก กสทช."

นายเมธา มาสขาว ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และรักษาการเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า มาตรา 20 พ.ร.บ.กสทช. เป็นอำนาจหน้าที่นายกรัฐมนตรี ต้องดำเนินการตรวจสอบรวบรวมหลักฐานส่งกองนิติการ สำนักงานองคมนตรี ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะเป็นเรื่องโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตามกฎหมาย อำนาจหน้าที่กองนิติการข้อ 2 ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า การแต่งตั้งและพ้นตำแหน่ง วุฒิสภามีอำนาจช่วยตรวจสอบตามมาตรา 8 และมาตรา 18 ตามหนังสือตอบจากกฤษฎีกา ที่ นร 0909/117 ตอบนายก 16 ก.ย.2567 นายกรัฐมนตรีจึงต้องดำเนินการตามมาตรา 20 โดยทันที

การที่รองนายกฯ ตอบว่า นายกฯ ทราบเรื่องแล้ว จึงเป็นความผิดสำเร็จ รู้แต่ไม่ทำ เท่ากับว่าปล่อยให้ประธาน กสทช. ปฏิบัติหน้าที่อยู่โดยไม่มีอะไรรองรับ เพราะปกติเมื่อมีมูลหรือข้อเท็จจริงต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที แต่นายกฯ กลับปล่อยให้ทำโดยไม่มีผลการวินิจฉัยยืนยันแต่ประการใด รวมถึงหนังสือตอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็ไม่ปรากฏคำวินิจฉัยว่าสามารถทำได้ หรือโต้แย้งผลกรรมาธิการเทคโนโลยีฯ แต่ประการใด นายกฯ จึงมีความผิดสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากยังปล่อยให้ประธาน กสทช. ปฏิบัติหน้าที่อยู่โดยไม่ทำอะไร จะเป็นการร่วมกันกระทำผิดปกปิดแล้วก้าวล่วงพระราชอำนาจ

อีกทั้ง หากปล่อยไว้อาจเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายมาตรา 157 โดยตรง นายกรัฐมนตรีจึงควรเร่งดำเนินการ ส่งผลการตรวจสอบของวุฒิสภา ไปยังสำนักงานองคมนตรีเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยข้อเท็จจริงประเด็นดังกล่าวต่อไป แต่ปัจจุบัน นายกรัฐมนตรียังไม่ดำเนินการใด ๆ โดยปล่อยให้มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบมากว่า 8 เดือน เรื่องนี้ ถ้ามีการร้อง ป.ป.ช. นายกรัฐมนตรีอาจหลุดจากตำแหน่งได้เลย