เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ได้จัดพิธีประสาทปริญญาบัตรให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาทั้งระดับดุษฎีบัณฑิต มหาบัณฑิต ประกาศนียบัตรบัณฑิต และบัณฑิต ปีการศึกษา 2566 รวมถึงการมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แก่ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีส่วนสำคัญในการยกระดับการศึกษาและพัฒนาประเทศชาติ โดยมี รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีกิตติคุณ เป็นประธานในพิธี และดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดี กล่าวรายงานและกล่าวแสดงความยินดีแก่ผู้สำเร็จการศึกษา ณ ห้องประชุมปรีดี พนมยงค์ อาคารเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) โดยบรรยากาศงานรับปริญญาตลอดทั้งวันอบอวลไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ทุกมุมเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและคำอวยพร จากครอบครัวและเพื่อนๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดีกับบัณฑิต

ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสมาต้อนรับทุกท่านในการแสดงความยินดีกับผู้ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ปีนี้มหาวิทยาลัยได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 58 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของมหาวิทยาลัยในการเพิ่มความเชี่ยวชาญใหม่ๆ ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและเติมเต็มความเชี่ยวชาญเดิมด้านสังคมศาสตร์ของเรายังสอดคล้องกับความต้องการการใช้บัณฑิตในสังคมและประเทศ 

โลกปัจจุบันเริ่มให้ความสำคัญกับวิทยาการชะลอวัยที่จะช่วยเสริมสร้างสุขภาวะให้แข็งแรงไปจนสิ้นอายุขัย คนไทยจะมีสุขภาพชีวิตที่ดีขึ้นหากเข้าสู่ความรู้ด้านนี้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้อุตสาหกรรมสุขภาพและการชะลอวัยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติที่กำลังขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็น Medical Hub ด้วย Wellness Tourism ทำให้บุคลากรด้านนี้เป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพในอนาคต

ในขณะเดียวกันความเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบันทางด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และวิถีสังคมทั่วโลก ทำให้เราเห็นความสำคัญอย่างยิ่งของกฎหมาย ซึ่งเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของสังคม เรามีกลุ่มประชากร Generation Beta ที่เกิดใหม่ตั้งแต่ปีนี้ 2568 จนถึง พ.ศ.2582 ประชากรกลุ่มนี้เกิดหลังความวุ่นวายกับโรคโควิด-19 ซึ่งประชากรกลุ่มนี้จะเติบโตในยุคของเทคโนโลยี AI ขั้นสูง รวมถึงความผันผวนของเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง ทุกประเทศต้องการกฎหมายที่ทันยุคเหมาะสมกับบริบทของสังคมอีกเป็นจำนวนมาก เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการทำงานและเศรษฐกิจดิจิทัล กฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวในโลกออนไลน์ กฎหมายเกี่ยวกับความเท่าเทียมและความปลอดภัยในสังคม กฎหมายที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน รวมถึงกฎหมายเทคโนโลยีการแพทย์และสาธารณสุข

มหาวิทยาลัยของเราไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่ผลิตบัณฑิตและพัฒนาองค์ความรู้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ชะลอวัยและด้านกฎหมายให้ประเทศ แต่ยังทำหน้าที่สรรหาผู้ที่มีความสามารถในศาสตร์ต่างๆ เป็นประจำ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัย ในการยกย่องเชิดชูผู้สร้างคุณประโยชน์สู่สาธารณะ โดยในปีนี้สภามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์มีมติอนุมัติปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แก่ผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 3 ท่าน ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชานิติศาสตร์ ได้แก่  ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์  ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาวิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ และ แพทย์หญิงพักตร์พิไล ทวีสิน ขอแสดงความยินดีกับดุษฎีกิตติมศักดิ์ทั้ง 3 ท่านเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณทุกท่านที่เป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจให้กับพวกเราทุกคน

ด้าน นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ นายกสภามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับผู้ที่ได้รับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ทั้ง 3 ท่านเป็นบุคคลที่สำคัญที่อุทิศตนเพื่อพัฒนาวิชาชีพและพัฒนาชาติ มีผลงานดีเด่น ซึ่งช่วยนำพาประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และทิศทางการพัฒนาของมหาวิทยาลัย สมควรได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเพื่อเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำคัญและคุณค่าของผลงานที่ท่านได้ทำไว้ เพื่อเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่นเจริญรอยตามสืบไป และเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านได้สร้างผลงานอย่างต่อเนื่องต่อไป

ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับปริญญา ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับปริญญาดังกล่าว เนื่องจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก่อตั้งโดย ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ อดีตอธิการบดี ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นสถาบันที่ตนเองได้ทำงานและใช้ชีวิตทางวิชาการมาโดยตลอด นอกจากนี้ คณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ยังใช้ชื่อว่า “คณะนิติศาสตร์ ปรีดี พนมยงค์” ทำให้การได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ในครั้งนี้ถือเป็นเกียรติอย่างสูงในฐานะนักกฎหมาย อีกทั้งมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ไม่ได้มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้กับบุคคลทั่วไปบ่อยนัก ดังนั้นการได้รับการเสนอชื่อและได้รับปริญญาในครั้งนี้จึงถือเป็นเกียรติอันสำคัญ

ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล ยังกล่าวถึงสถานการณ์ด้านกฎหมายในปัจจุบันว่า ผู้คนให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นในระบบกฎหมายน้อยลงมาก  ซึ่งอาจเป็นผลมาจากปัญหาภายในวงการนักกฎหมายเองที่ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่น ทั้งที่กฎหมายเป็นกลไกสำคัญของสังคม หากปราศจากกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน สังคมจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจ การทำงาน การลงทุน หรือแม้กระทั่งการบริหารราชการและการตัดสินใจเชิงนโยบายของประเทศ มองว่าเป็นปัญหาที่นักกฎหมายควรต้องร่วมมือกันแก้ไข ทำอย่างไรให้ประชาชนเชื่อมั่นว่ากฎหมายมีอยู่จริง ความยุติธรรมสามารถเกิดขึ้นได้ และการกระทำผิดต้องได้รับโทษตามสมควร ในขณะที่ผู้บริสุทธิ์ไม่ควรถูกลงโทษหรือได้รับผลกระทบจากช่องโหว่ของกฎหมาย

ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล ได้ฝากข้อคิดถึงคนรุ่นใหม่ที่ต้องการประสบความสำเร็จในวิชาชีพด้านกฎหมายว่า “การเรียนกฎหมายต้องอาศัยความจริงจังและความตั้งใจ ต้องเข้าใจหลักคิดแบบนักกฎหมาย วิเคราะห์ความเป็นจริงของสังคม และนำกฎหมายไปปรับใช้ให้เหมาะสม เนื่องจากกฎหมายเป็นศาสตร์ทางสังคม ไม่สามารถแยกออกจากบริบทความเป็นจริงได้ การทดลองใช้กฎหมายเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การให้คำปรึกษากับผู้ที่มีปัญหาทางกฎหมาย จะช่วยให้เข้าใจว่าสังคมมีความซับซ้อนมากกว่าตัวอย่างในตำรา การฝึกฝนในลักษณะนี้จะช่วยเพิ่มความเข้าใจ ความมั่นใจ และเพิ่มพูนประสบการณ์ ซึ่งจะนำไปสู่การใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นักกฎหมายต้องมีจรรยาบรรณ และมุ่งมั่นสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมเพื่อให้กฎหมายเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่ความยุติธรรมอย่างแท้จริง”

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ ผู้ได้รับปริญญา วิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาวิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้รับการเชิดชูเกียรติจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ว่านับเป็น “เกียรติและเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง” และเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ครั้งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ท่านรู้สึกว่าการที่ผู้คนเห็นผลงานที่ทำมาตลอดระยะเวลานั้น ทำให้เกิดความหวังที่จะทำสิ่งดีๆ ต่อเนื่องต่อไป และจะเป็นตัวอย่างให้แก่ผู้ที่กำลังทำสิ่งใดๆ โดยเฉพาะผู้ที่ริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ที่อาจยังไม่เห็นอนาคต

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์พันธ์ศักดิ์ ยังกล่าวถึงแนวคิดในการทำงาน โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการยึดมั่นในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ถ้าเราเห็นว่าอะไรเป็นเรื่องที่ดีและสมควรทำ เราก็ควรทำให้เต็มที่เพื่อประโยชน์ของสังคม เพราะการทำสิ่งดีเพื่อสังคมไม่เพียงแต่ทำให้ผู้อื่นมีความสุข แต่ยังทำให้ตนเองมีความสุขเช่นกัน และเมื่อถึงเวลา การได้รับการเชิดชูเกียรติจะเป็นแรงผลักดันให้เรามุ่งมั่นต่อไป

ในส่วนของการพัฒนาศาสตร์ด้านชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์พันธ์ศักดิ์ ยังกล่าวถึงความสำคัญของการมีวิสัยทัศน์ร่วมกันระหว่างตัวท่านและมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ในการพัฒนาศาสตร์ด้านชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ โดยได้ดำเนินงานในสาขานี้มานานกว่า 25 ปี แม้ในช่วงแรกจะยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางนัก แต่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของศาสตร์ดังกล่าว และเปิดโอกาสให้ตนเองและทีมงานได้ร่วมกันพัฒนาหลักสูตรเฉพาะทาง ซึ่งความร่วมมือและเป้าหมายที่สอดคล้องกันนี้เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การทำงานประสบความสำเร็จ และผลักดันองค์ความรู้ด้านชะลอวัยประเทศไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

ขณะที่ แพทย์หญิงพักตร์พิไล ทวีสิน หนึ่งในผู้ที่ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ หลักสูตรบัณฑิตศึกษา อาจารย์ประจำหลักสูตรปริญญาโท และปริญญาเอก สาขาวิชา วิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ วิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ (CIMw) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้เน้นย้ำถึงการพัฒนาหลักสูตรที่ทันสมัยและครอบคลุมในสาขาวิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ เพื่อสร้างบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถ และจิตวิญญาณในการเผยแพร่ความรู้ โดยตนเองได้ยึดมั่นในหลักการที่ว่า “การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” และ “การป้องกันดีกว่าการแก้ไข” ซึ่งการพัฒนาหลักสูตรนี้ไม่เพียงแต่ช่วยบ่มเพาะบุคลากรที่มีความรู้ทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพ แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการตระหนักรู้ในสังคมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อส่งต่อความรู้และแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นในการรักษาสุขภาพที่ดีขึ้น

ภายในงานพิธียังมีมอบรางวัล ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์และรางวัลเหรียญเชิดชูเกียรติเรียนดี แก่บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโท โดย รองศาสตราจารย์ ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีกิตติคุณของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ พร้อมกับกล่าวแสดงความยินดีและให้โอวาทแก่บัณฑิตทุกคนในงานว่า วันนี้เป็นวันแห่งความสำเร็จที่ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของบัณฑิตทุกคน แต่โลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ซึ่งอาจส่งผลทั้งด้านบวกและลบต่อชีวิต ดังนั้น บัณฑิตต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ โดยมี 3 หลักสำคัญสู่ความสำเร็จในโลกยุคใหม่ ได้แก่

1. ติดตามการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างไม่ลดละ บัณฑิตต้องหมั่นศึกษาความเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงใดๆ ล้วนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยตรงและรวดเร็ว  2. ฝึกจิตใจให้ยืดหยุ่น ปรับตัวให้ทันกับโลกที่ไม่แน่นอน ความเชื่อและความเคยชินในอดีตอาจไม่สามารถนำมาใช้ได้ในโลกอนาคต งานและอาชีพอาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง บัณฑิตจึงต้องเปิดใจ เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ อยู่เสมอ และพัฒนาทัศนคติที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง  และ 3. การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี  “ความสำเร็จในชีวิตไม่ได้เกิดจากการทำงานเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยเครือข่ายและความร่วมมือจากผู้อื่น ความสัมพันธ์ที่ดีเกิดจาก ความจริงใจ การให้เกียรติ และการรักษามารยาทซึ่งจะช่วยให้ทั้งคนที่มีความสามารถสูงและคนทั่วไปสามารถเติบโตในหน้าที่การงานได้”

รองศาสตราจารย์ ดร.วรากรณ์ ยังกล่าวถึงคุณค่าของความกตัญญูกตเวทีซึ่งเป็นสิ่งที่บัณฑิตควรยึดถือ เพราะไม่มีใครสามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้เพียงลำพัง บัณฑิตทุกคนต่างได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว ครูอาจารย์ และสังคม การตระหนักรู้ถึงบุญคุณของผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จจะช่วยให้ชีวิตเต็มไปด้วยคุณค่าและความหมาย วันนี้เป็นวันที่ความหวังของพ่อแม่ ครอบครัว และผู้มีพระคุณของท่านได้กลายเป็นจริง จึงเป็นโอกาสที่ดีในการระลึกถึงและตอบแทนบุญคุณของพวกเขา จึงขอส่งความปรารถนาดีถึงบัณฑิตทุกคนให้ใช้ความรู้และทักษะที่ได้รับไปพัฒนาตนเองและสังคม พร้อมก้าวสู่เส้นทางอนาคตด้วยความมุ่งมั่นและจิตใจที่เปิดกว้างต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต

​​​​​​​ ​​​​​​​ ​​​​​​​