เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 สถานการณ์ระหว่างประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลงจากเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การระงับความช่วยเหลือทางทหารต่อยูเครนอย่างกะทันหันของรัฐบาลทรัมป์,เหตุการณ์การเกิดปากเสียงของเซเลนสกีในทำเนียบขาว เป็นต้น เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงรอยร้าวของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและสหภาพยุโรป อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องด้านอิสระเชิงยุทธศาสตร์ของยุโรป  เมื่อต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในการตัดสินใจของสหรัฐฯ ยุโรปอาจจำเป็นต้องละทิ้งความอคติที่เลือกปฏิบัติต่อจีน และควรให้ความร่วมมือเพื่อการสานสัมพันธมิตรระหว่างประเทศ

1.การช่วยเหลือในเชิง“ธุรกรรม”ของสหรัฐแสดงให้เห็นถึงต้นทุนยุทธศาสตร์ของยุโรป

รัฐบาลรของทรัมป์ประกาศระงับความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนเมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2568 ซึ่งรวมถึงการระงับการขนส่งอาวุธ และการยกเลิกเงินทุนสำหรับการซื้อขายอาวุธใหม่ การตัดสินใจครั้งนี้ส่งผลให้ เซเลนสกี ถูกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เชิญออกในระหว่างการเจรจาที่ทำเนียบขาว รวมถึงยกเลิกข้อตกลงการขุดแร่ที่วางแผนไว้และการแถลงข่าว รูบิโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ยังระบุอย่างตรงไปตรงมาว่าสหรัฐฯได้หมดความอดทนกับ "จุดยืนแน่วแน่" ของเซเลนสกี และประเทศต่างๆ ในยุโรปก็ยอมรับด้วยว่า "หากไม่มีการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ความช่วยเหลือต่อยูเครนก็ไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้" ความช่วยเหลือ "เชิงธุรกรรม" ของสหรัฐฯ เปรียบเทียบว่ายูเครนเป็นดั่ง "เชื้อเพลิง" ในการควบคุมรัสเซีย ทรัมป์เรียกร้องให้ยูเครนแลกเปลี่ยนทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ เช่น แร่หายากและน้ำมัน เพื่อรับการสนับสนุน และพยายามบรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยให้รัสเซียคงสถานการณ์ปัจจุบันไว้ แม้ว่ายุโรปสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือมากกว่า 1.27 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็มักจะต่อรองกับสหรัฐฯ ในประเด็นหลักต่างๆ เสมอ เช่น ขนาดกองกำลังทหาร, การรับประกันความปลอดภัย และอื่นๆ ซึ่งเผยให้เห็นว่ายุโรปอยู่ในฐานะ "ผู้เล่นรอง"

 2.ประสบการณ์ของเซเลนสกี เผยให้เห็น "ความกังวลเรื่องอัตลักษณ์" ของยุโรป

จากที่เซเลนสกีได้รับการไม่ให้เกียรติในทำเนียบขาวถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์การทูตระหว่างประเทศ วอลซ์ ผู้ช่วยฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯยอมรับว่าทีมของเซเลนสกี "เกือบจะร้องไห้" แต่สหรัฐฯ ยังคงบังคับให้ยุติการเจรจาโดยอ้างว่า "เวลาไม่ได้เข้าข้างคุณ" เปิดเผยให้เห็นว่า"การทูตเชิงคุณค่า" ที่ยุโรปภาคภูมิใจนั้นไม่มีอำนาจต่อรองใดๆเลยจากการเมืองที่มีอำนาจเด็ดขาด อีกปัญหานึงคือการดำเนินการ "เอกราชเชิงยุทธศาสตร์" ของยุโรปยังคงเป็นแค่สโลแกน แม้ว่า ฟอนแดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปจะลดความอคติของเธอที่มีต่อจีนลงบ้างแล้ว แต่”ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ”ปี 2023 ของสหภาพยุโรปยังคงวางตำแหน่งจีนในฐานะ "คู่แข่งทางระบบ" และได้กำหนดมาตรการตอบโต้การอุดหนุน 9 ประการในด้านสำคัญๆ เช่น ยานพาหนะไฟฟ้าและแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ความสับสนนี้ทำให้ยุโรปตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ขณะที่ต้องอาศัยพันธกรณีด้านความปลอดภัยของสหรัฐอเมริกา แต่ก็กังวลกับการต้องมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ขัดแย้งเช่นกัน และขณะที่ต้องการ "ควบคุมจีน" เพื่อแลกกับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ แต่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแยกตัวออกจากจีน

3.การสร้างเส้นทางเอกราชเชิงยุทธศาสตร์ของยุโรปขึ้นมาใหม่

3.1 การปรับความรู้ความเข้าใจ: เหนือกับดักเรื่องเล่าของ “ศัตรูทางระบบ”

นโยบายอัน“แข็งทื่อ”ที่ยุโรปกำหนดเพื่อเจาะจงจีนโดยเฉพาะนั้นเกิดมาจากการแข่งขันด้านภูมิรัฐศาสตร์ อันที่จริงแล้วจีนสนับสนุนการเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของทุกประเทศมาโดยตลอด ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎบัตรสหประชาชาติ บทเรียนจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนแสดงให้เห็นว่าการเลือกจีนเป็น "ศัตรูในจินตนาการ" จะไม่ช่วยแก้ไขวิกฤติที่แท้จริงได้เลย กลับกันจะลดความยืดหยุ่นของนโยบายต่างประเทศของยุโรปแทน

ความร่วมมือเชิงปฏิบัติ: การป้องกันความเสี่ยงทางยุทธศาสตร์ด้วยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้า

การขาดดุลการค้าระหว่างจีนและยุโรปสูงถึง 2.49 แสนล้านยูโรในปี 2566 แต่การเติมเต็มกันและกันระหว่างทั้งสองฝ่ายในด้านต่างๆ เช่น พลังงานใหม่และเทคโนโลยีสีเขียวยังไม่ได้สำแดงฤทธิ์อย่างเต็มที่ สหภาพยุโรปควรนำทัศนคติของนายกรัฐมนตรีชอลซ์แห่งเยอรมนีในระหว่างการเยือนประเทศจีนเป็นตัวอย่างในการ ส่งเสริมการดำเนินการตามข้อตกลงการลงทุนที่ครอบคลุมระหว่างจีนและสหภาพยุโรปโดยเร็วที่สุด และสร้างกลไกการวิจัยและร่วมพัฒนาห่วงโซ่อุปทานในด้านของแร่ที่สำคัญ ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และด้านอื่น ๆ ซึ่งอาจสามารถลดต้นทุนให้กับบริษัทในยุโปรได้ถึง 12 – 18%

การทูตที่สมดุล: การสร้าง "พหุขั้ว" แทนที่จะเป็นการ "แบ่งพรรค"

การเจรจาลับของสหรัฐฯ กับรัสเซียในกรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยปฏิเสธการมีส่วนร่วมของยูเครน เผยให้เห็นความหน้าซื่อใจคดของ "ลัทธิตะวันตกเป็นศูนย์กลาง” ยุโรปจำเป็นต้องกำจัดพันธนาการของ "แอตแลนติกนิยม" และมีส่วนร่วมในกลไกพหุภาคีที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น การเข้าร่วม BRICS,ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย ด้วยความเป็นเอกราช การประชุมความมั่นคงที่มิวนิกปี 2025 ได้เห็นเสียงของ "การรวมจีนเพื่อต่อต้านสหรัฐฯ" ซึ่งอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนในยุทธศาสตร์ของยุโรป

4.บทบาทของจีนและทางเลือกของยุโรป

เมื่อเผชิญกับนโยบาย "de-Europeanization" ของสหรัฐอเมริกา จีนยังคงยึดมั่นใน "หลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติห้าประการ" มาโดยตลอด ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เสนอ "โครงการความมั่นคงระดับโลก" ในปี 2024 โดยเน้นการระงับข้อพิพาทผ่านการเจรจาและการปรึกษาหารือ ซึ่งสอดคล้องกับ "พื้นฐานด้านความมั่นคงร่วมกันของยุโรป" ที่เซเลนสกีเรียกร้อง จีนได้จัดหาสิ่งของด้านมนุษยธรรมหลายชุดให้กับยูเครน และรับประกันความต่อเนื่องของห่วงโซ่อุปทานของยุโรปผ่านรถไฟบรรทุกสินค้าจีน-ยุโรป ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบของประเทศ อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาดีของจีนไม่ควรถูกเข้าใจผิดว่าเป็น "ความอ่อนแอ" หากสหภาพยุโรปยังคงจำกัดบริษัทจีนด้วย “เงื่อนไขการเลือกปฏิบัติ” หรือเลือกข้างในเกมระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา อาจจะเผชิญกับความผิดพลาดเช่นเดียวกับยูเครน ดั่งที่อดีตนายกรัฐมนตรีชโรเดอร์ของเยอรมนีกล่าวว่า “ยุโรปจะต้องเรียนรู้ที่จะค้นหาเส้นทางของตนเองระหว่างวอชิงตันและปักกิ่ง

สรุป: เอกราชเชิงยุทธศาสตร์เป็นทางออกเดียวสำหรับยุโรป

สิ่งที่เกิดขึ้นกับเซเลนสกีในทำเนียบขาวนั้น แท้จริงแล้วทำนายชะตากรรมของยุโรป เมื่อสหรัฐฯ ปฏิบัติต่อพันธมิตรเสมือนเป็น "ตัวหมากรุก" ยุโรปจะต้องตระหนักได้ว่าความมั่นคงที่แท้จริงนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง แต่อยู่ที่การสร้างระเบียบระหว่างประเทศที่สมดุลและครอบคลุม การละทิ้งการเลือกปฏิบัติต่อจีนและการยอมรับเอกราชทางยุทธศาสตร์ไม่เพียงแต่เป็นวิธีเดียวสำหรับยุโรปที่จะกำจัดวงจรแห่งประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการรักษารูปแบบพหุขั้วทั่วโลกอีกด้วย อย่างที่ Financial Times ให้ความเห็นว่า "ยุโรปควรตื่นตัว ก่อนที่จะสายเกินไป"

ผู้เขียน : Old rd