วันที่ 7 มีนาคม 2568. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ก่อนหน้าที่รัฐบาลจะปฏิบัติการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชนิด “ไม่จบไม่เลิก”ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี หลังจากภารกิจตัดน้ำตัดไฟไม่ส่งน้ำมัน จนทำให้มีแก๊งคอลฯถูกจับกลุ่มหลายพันคน ทั้งทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกของประเทศ ทำให้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ การหลอกลวงลักษณะนี้ลดลงไปมากกว่า 80% แต่ปัจจุบันแม้จะลดลงแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังได้รับแจ้งความว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์นอกจากจะหลอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็น DSI เป็น ปปส. หรือเป็นเจ้าหน้าที่ศาล หรือไปรษณีย์บ้าง โดยหลอกว่ามีพัสดุของเหยื่อมียาเสพติด หรือเป็นผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือการฟอกเงินแล้วหลอกลวงให้เหยื่อหลงเชื่อ จนโอนเงินเสียหายกันเป็นจำนวนมาก จนรู้จักกันดีว่า “กองร้อยปอยเปต”
ซึ่งปัจจุบันแก๊งเหล่านี้ยังคงใช้มุกเดิม ๆ หลอกคนไทยอยู่ แต่ปัจจุบันก็เปลี่ยนมาเป็นรูปแบบ “แก๊งคอลสยิว” โดยคนร้ายเหล่านี้จะเข้าไปในโซเชียลมีเดียทั้ง TikTok Instagram หรือ Facebook และก๊อปปี้รูปภาพ คลิปวิดีโอหรือกิจกรรมต่าง ๆ ของเจ้าของ แล้วนำมาเปิดบัญชีใหม่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายที่มีรูปร่างหน้าตาดี จากนั้นก็จะอินบ็อกซ์เข้าไปพูดคุยกับเหยื่อและขอแลก LINE หรือคุยผ่าน Messenger ในเฟซบุ๊ก จนกระทั่งเหยื่อตายใจก็จะใช้วิธีการหว่านล้อมเพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อ เช่น ชักชวนลงทุนเล่นการพนันหรือชวนอาบน้ำด้วยกัน หรือไม่ก็เปลือยกาย แล้วถ่ายอัดคลิปวิดีโอไว้ จากนั้นก็จะแสดงตนเป็นคนร้ายทันที เพื่อแบล็กเมลเรียกเงิน
ทั้งนี้ ตนพร้อม พล.ต.ท. ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และฝ่ายสืบสวนตำรวจไซเบอร์ได้วางแผนจับกุมหลายครั้งในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา โดยกลุ่มแก๊งคอลฯ ดังกล่าวนี้ ล่าสุดได้ก๊อปปี้รูปและคลิปวิดีโอกิจกรรมต่าง ๆ ของตำรวจหญิง ยศ ร.ต.ท. คนหนึ่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีรูปร่างหน้าตาดีไปหลอกเหยื่อจำนวนมาก ซึ่งได้สอบถามพร้อมกับส่งข้อมูลไปที่ ร.ต.ท.หญิง คนดังกล่าวซึ่งยืนยันว่า ร.ต.ท.หญิงคนดังกล่าวมีตัวตนจริง แต่ในบัญชีอื่น ๆแจ้งว่าถูกก๊อบปี้รูปถ่ายของผู้หมวดหญิงคนนี้ไปเปิดมากกว่า 10 บัญชี ทั้งทาง Facebook TikTok Instagram และ LINE ซึ่งการใช้โพรไฟล์ของตำรวจหญิง ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเหยื่อว่าไม่ใช่แก๊งคอลฯ แน่นอน ซึ่งหลังจากนั้นคนร้ายกลุ่มนี้ก็นำโพรไฟล์ของผู้หมวดหญิงไปหลอกสนทนากับเหยื่อโดยจะใช้วิธีการอินบ็อกซ์หรือกดไลค์ ตามด้วยคำหวานทำให้เหยื่อรู้สึกดี และพูดจาหวานล้อม หลอกให้เหยื่อหลงตายใจอย่างใจเย็น จากนั้นคนร้ายก็จะพยายามชักชวนให้ช่วยสนับสนุนเนื่องจากเป็นตำรวจเงินเดือนน้อย มีภารกิจ เช่น จะนำเงินไปซื้ออาวุธปืน จากนั้นก็จะชวนสนทนาในเรื่องเพศ
ซึ่งหากเหยื่อหลงกลก็เปลื้องผ้าหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คนร้ายก็จะก๊อปปี้ หน้าจอหรืออัดวิดีโอไว้แล้วนำมาแบล็กเมลเรียกเงินตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักล้าน ซึ่งคนร้ายกลุ่มดังกล่าวจะใช้วิธีดังกล่าวอย่างต่อเนื่องทำให้เหยื่อจำนวนมากไม่กล้าแจ้งความ เนื่องจากจำนวนมากกลัวกระทบต่อครอบครัวและจำนวนไม่น้อยเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม ทั้งนี้การกระทำผิดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้เป็นความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่น, กรรโชกทรัพย์, รีดเอาทรัพย์ และเผยแพร่สื่อลามก ตามกฎหมายอาญา มาตรา 309 337 338 และ 287 อีกทั้งยังมีความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 มีโทษทั้งจำทั้งปรับตั้งแต่ 3 - 10 ปี
ขณะที่ พล.ต.ท. ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้ติดตามตรวจสอบกลุ่มคนเหล่านี้แล้ว ซึ่งคาดว่าจะได้ตัวแก๊งเหล่านี้ในเร็ววันนี้ และฝากเตือนภัยไปยังประชาชนให้ระวังรูปแบบนี้ซึ่งมีประชาชนโดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้วิธีการแบบนี้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมากในปัจจุบัน ทั้งนี้หากไม่พร้อมจะเปิดเผยตัวตนของเหยื่อ ก็ขอให้แจ้งเลขบัญชีที่เหยื่อโอนไปให้กับกลุ่มคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ เพื่อทางตำรวจจะได้สืบในทางลับว่าบัญชีของคนร้ายที่ใช้เป็นใคร ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับข้อมูลทางบัญชีมาแล้วพบว่าอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและภาคเหนือ ซึ่งได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท. 1 (รับผิดชอบกรุงเทพมหานคร) และพล.ต.ต. กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ ผบก. สอท. 4 (รับผิดชอบภาคเหนือ 17 จังหวัด) เร่งดำเนินการแล้ว
โดย นายจิรายุ กล่าวเตือนไปยังผู้ที่เล่นโซเชียลมีเดียให้ตระหนักรู้ไว้ว่าตนเอง ไม่ใช่คนที่มีหน้าตาหล่อหรือสวย หรือโลกสวย รักแท้จะมีจริงในโลกไซเบอร์ เพราะกลุ่มคนร้ายจะใช้ LINE หรือรูปถ่ายที่ดูดีมีความล่อแหลมทางเพศเมื่อเหยื่อหลงเชื่อก็จะติดกับดักเหล่านี้ ซึ่งในขณะที่ตำรวจกำลังติดตามจับ แก๊งคอลสยิว เหล่านี้ซึ่งส่วนหนึ่งอยู่ในกรุงเทพมหานครและทางภาคเหนือและส่วนหนึ่งยังคงทำงานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน "ขอเตือนสังคมว่าให้ตระหนักไว้ว่านี้คือ “รักแท้ในคืนหลอกลวง..ของฟรีไม่มีในโลก” คนในโซเชียลมีเดียถ้าไม่ได้พบตัวจริงอย่าหลงเชื่ออย่าโอน อย่าปล่อยใจให้เตลิดเด็ดขาด"
พร้อมกันนี้ คณะทำงานชุดสืบฯ หลังจากที่ได้ทำการล่อซื้อได้บันทึกรายละเอียดในทุกขั้นตอนที่คนร้ายใช้ทุกแพลตฟอร์มและวิดีโอคอล เพื่อเป็นสื่อเตือนภัย ซึ่งพบว่าคนร้ายจะหว่านล้อมเหยื่อต่าง ๆ นานา โดยพยายามจะให้เหยื่อเปิดกล้องให้เห็นหน้าเพื่อก๊อปปี้ภาพหรือบันทึกคลิปไว้แบล็กเมลเรียกเงิน หากเหยื่อไม่หลงกล ไม่เปิดให้เห็นหน้าเมื่อคนร้ายไม่สามารถปฏิบัติภารกิจแบล็กเมลได้สำเร็จ ก็จะปิดกล้องแล้วด่าหยาบคายจากนั้นก็จะปิด TikTok หรือ Facebook ที่ตนเองก๊อปปี้ภาพจากคนอื่นมาทิ้ง ทั้งนี้รัฐบาลจึงขอเตือนประชาชนอย่าหลงกลกับคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มาในรูปแบบนี้อย่างเด็ดขาด