แดงยกแผง!! กระเทือนแผนแดงทั้งแผ่นดิน หลังดัชนีหุ้นไทยวายวอดหลุดไป 1,200 จุดต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ กระทั่งล่าสุดวันที่ 4 มีนาคม 2568 ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 5 ปี ปิดที่ 1,177.64 จุด ลบ 10.77 จุด นำไปสู่กระแสโจมตีรัฐบาล “นายกฯGen Y” อย่าง แพทองธาร ชินวัตร อย่างหนัก
มอตโต้ “มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” ถูกนำมาล้อเลียนเสียดสี ไปกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ดูสวนทาง โดยเฉพาะความคาดหวังที่มีต่อ “คุณพ่อนายกฯ” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯที่มีผลงานในอดีตกับไอเดียสุดล้ำค้ำคออยู่
ทั้งนี้ ทั้งนั้น ชีพจรตลาดหุ้นไทยหายใจรวยริน จนนักวิเคราะห์มองกันว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นนี้หนักหนาสาหัส ถึงขั้นให้ติดต่อจองวัดจองศาลากันเลยทีเดียว แม้ กนง.ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยที่ 0.25 % ตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาที่เชื่อกันว่าตลาดหุ้นจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย
แต่ทว่าสัญญาณดังกล่าวกลับแผ่วผิวผ่านไปดั่งสายลม เมื่อบรรดาแบงก์ต่างๆกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆจนล่วงไป 4 วันให้หลัง จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังต้องออกมากระทุ้ง และนำมาสู่การที่ธนาคารต่างๆทยอยประกาศลดดอกเบี้ย
อีกทั้งยิ่งเหมือนราดน้ำมันลงไปบนกองไฟ เมื่อ เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมเศรษฐกิจ ให้ความเห็นต่อดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงว่า “คนที่ฉลาด จะมองพื้นฐานทางเศรษฐกิจและจะมองสิ่งนี้เป็นโอกาส ส่วนคนที่ไม่ฉลาดก็จะตื่นเต้นและไม่เห็นโอกาสในสิ่งนี้ คือ มองไม่เห็นโอกาสในพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มี กับราคาหลักทรัพย์ที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจ” ยิ่งทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงแซงทุกดรามา
แม้สถานการณ์หุ้นไทยจะโดนจุดสลบ ไม่ต่างจากตลาดหุ้นทั่วโลก ที่อ่วมพิษสงครามการค้า โดยเฉพาะปัจจัยหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีสินค้าแคนาดา เม็กซิโก และจีน
ทว่าปัจจัยภายในของไทยเองก็ฉุดให้หุ้นไทยยากจะโงหัวขึ้น โดยเฉพาะปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น ท่ามกลางข่าวลือ “ยุบสภา” ที่โหมกระหน่ำ ซ้ำเติมความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ชอบความชัดเจนและมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติไม่อยากลงทุนในประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายบ่อยๆ
อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ มองว่าการเมืองเดือนนี้จะร้อนแรงขึ้นตามสภาพอากาศ ทั้งจากประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ต้องยอมรับว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ในพรรคร่วมรัฐบาลค่อนข้างกระท่อนกระแท่นจากหลายกรณี ถึงแม้บล.ทิสโก้มองยังไม่ถึงขั้นแตกหัก แต่อย่างน้อยจะกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล รวมทั้งอาจมีการปรับคณะรัฐมนตรีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทำให้กระบวนการขับเคลื่อนงานต่าง ๆ ของรัฐบาลมีความล่าช้าหรือไม่ได้ผลเท่าที่ควร ขณะที่ภาพรวมงบการเงินไตรมาส 4/67 ของบริษัทจดทะเบียนไทยออกมาแย่กว่าตลาดคาดถึง 47% ทั้งหมดส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน คาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยเดือนนี้อาจจะอยู่ในกรอบ 1,180 - 1,200 จุด
ด้านทีมที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก “หมอเลี้ยบ”นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานที่ปรึกษา คณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ยอมรับผ่านรายการโทรทัศน์ว่าการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีถูกกดดันจากปัจจัยด้านความเชื่อมั่น ทั้งความเชื่อมั่นเรื่องการเมือง และความเชื่อมั่นในตลาดทุน
อย่างไรก็ตาม “หมอเลี้ยบ”มองว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และเชื่อว่าดัชนีจะไม่ปรับลดลงไปต่ำกว่า 1,000 จุด หากผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ช่วงปลายเดือนมีนาคม การเมืองกลับมามีเสถียรภาพ มีกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวมหาสงกรานต์ในช่วงเดือนเม.ย. อาจสร้างความเชื่อมั่นกลับมาได้
“ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน ไม่ใช่ปรากฎการณ์ที่ถาวร แรงลึกเหมือนกับตอนที่ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงไปประมาณ 100 จุด หลังจากที่มีมาตรการการสำรอง 30% เมื่อ 20 ปีก่อน ซึ่งเป็นปัจจัยชั่วคราว มันเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น ความมั่นใจ และอารมณ์ความรู้สึกในช่วงนั้น ๆ”
กระนั้น นอกตลาดหุ้น ก็มีผลสำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ค่อยพอใจผลงาน 6 เดือนของรัฐบาล และไม่ค่อยพอใจการทำงานของนายกฯ ขณะที่สวนดุสิตโพลสำรวจพบประชาชนส่วนใหญ่ต้องใช้จ่ายแบบเดือนชนเดือนและต้องระมัดระวังในการใช้เงินมากขึ้น และส่วนใหญ่มองว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลยังไม่มีประสิทธิภาพ
“ผลโพลสะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล ท่ามกลางราคาสินค้าและบริการที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ประชาชนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย เป็นสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า แม้รัฐบาลพยายามเร่งอัดฉีดเงินหมื่นเข้าไปกระตุ้น แต่ก็ยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้ตามเป้าหมาย” พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุ
หากมองย้อนกลับไปเดือนมีนาคม 2563 ในสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หุ้นไทยเคยหล่นไปถึง 1,024.46 จุด หลังจากกระทรวงสาธารณสุขไทยยกระดับโควิด-19 เป็นโรคติตต่ออันตราย ทำให้มีการคาดการณ์ว่าจะมีการล็อกดาวน์ และประกาศเคอร์ฟิว หลังจากนั้นฟื้นตัวได้เรื่อยมากระทั่งขึ้นไปแตะที่ 1,700 จุดหลังพล.อ.ประยุทธ์ประกาศความชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง
ก่อนที่จะกลับไปอยูที่ 1,200 จุดจากความไม่แน่นอนทางการเมือง จากปัจจัยคดียุบพรรคก้าวไกล คดีถอดถอน เศรษฐา ทวีสิน และคดีความผิดตามมาตรา 112 ของ “ทักษิณ”
เมื่อมาดูบริบทการเมืองในปัจจุบัน 3 ดาบแดงแทงทะลุหัวใจ คนโตอีสานใต้ เนวิน ชิดชอบ จากเขากระโดง สู่ฮั้วเลือกสว.และไม่ต่อสัญญา “โมโตจีพี” ที่สัญญาณ “รบแตกหัก” ไม่มีรอมชอมขย่มตลาดหุ้นไทยจนไม่มีแรงสู้กลับ
ด้วยปัจจัยภายนอกสงครามการค้ามันยากจะควบคุมได้ แต่ปัจจัยภายในต้องลดแรงกระแทก หาทางลงให้ได้ในเร็ววัน จะเป็นแบบ “ซอฟต์แลนดิ้ง” มวยล้มต้มคนดู หรือ “ไถลออกนอกรันเวย์” ระเบิดยกลำ
ล่าสุด มีรายงานข่าวว่า “เนวิน” ยอมมุดบ้านจันทร์ส่องหล้าไปกินมาม่าแล้ว ก่อนวันที่ 6 มีนาคมดีเดย์บอร์ดคดีพิเศษเคาะรับคดีฮั้วเลือกสว. ก็หวังว่าหลังจากนี้ทุกอย่างจะค่อยๆชัดเจนขึ้น ก่อนประชาชนจะวอดวาย