คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
แทบไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่คนอเมริกันเอง ขณะนี้ก็ยังมีความคิดเห็นและเชื่อกันว่า “บทบาทในเวทีโลกของสหรัฐอเมริกามีความอ่อนแอลงไปอย่างมาก”
เท่ากับเป็นการส่งให้เห็นถึงสัญญาณอันตรายต่อความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐฯ ดังจะเห็นได้จากรายงานของสำนักหยั่งเสียงชื่อดัง “พิว” ที่วางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2565 ว่า ชาวอเมริกัน 47% เชื่อว่าอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาในเวทีโลกกำลังลดลง โดยมีแค่เพียงหนึ่งในห้าเท่านั้นที่เชื่อกันว่าสหรัฐฯยังคงมีความแข็งแกร่ง!!!
แต่ในทางกลับกันชาวอเมริกันสองในสามกล่าวว่า ขณะนี้อิทธิพลของจีนกำลังทวีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นทุกทีๆ
ทั้งนี้ที่ผ่านมาในยุคสมัยของ “ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี” ที่มีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ซึ่งเขาเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง “องค์การพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ” (U.S. Agency for International Development) หรือที่เรียกย่อๆว่า “USAID” ขึ้นมาเมื่อปีค.ศ. 1961 โดยมีเป้าหมายต้องการที่จะให้องค์การนี้เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ
องค์การนี้ก่อตั้งมาอย่างยาวนานกว่า 63 ปี ที่แพร่ขยายกระจายโครงการนี้ไปใน 140 ประเทศ และยังมีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบในองค์การนี้ถึง 140,000 คน
โดยองค์การนี้ได้รับงบประมาณประจำปีที่สภาคองเกรสอนุมัติให้ราวๆ 40 พันล้านดอลลาร์ หรือแค่เพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เพื่อนำงบเหล่านั้นไปแจกจ่ายด้านค่าอาหาร และค่ายารักษาโรค ตลอดจนถึงด้านภัยพิบัติ งานพัฒนา โครงการเพื่อประชาธิปไตย โดยมุ่งเน้นไปช่วยเหลือประเทศที่กำลังพัฒนาในแถบแอฟริกา ลาตินอเมริกา และประเทศในแถบเอเชียเป็นหลักใหญ่
แต่กลับปรากฏว่าอภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก “อีลอน มัสก์” ที่เขาออกมาผลักดันให้ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ยุบองค์การยักษ์ใหญ่นี้
แถมยังตามติดมาด้วยการสั่งปลดเจ้าหน้าที่ขององค์การนี้ออกจากงานหรือไม่ก็สั่งให้พักงาน โดยมีคำสั่งเร่งด่วนให้พวกเขาเดินทางกลับไปรายงานตัว ณ สำนักงานใหญ่ใน กรุงวอชิงตัน โดยสั่งให้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นเก็บข้าวของเคลียร์โต๊ะทำงานให้เสร็จสิ้นภายใน 15 นาที (ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ “Stunned U.S.A.I.D. Workers Return to Clean out their Desks, February 27, 2025)
อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเพื่อพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ต่างรู้สึกงุนงงต่อมาตรการอันเหี้ยมโหดดังกล่าว ทั้งๆที่พวกเขาต่างทุ่มเทและเสียสละเวลาห่างไกลจากครอบครัวทำงานรับใช้ประเทศชาติมาอย่างยาวนาน
โดยแถลงการร่วมจากคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ต่างประเทศของค่ายพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ออกมาประณามการยกเลิกองค์การ USAID ในครั้งนี้ว่า “เป็นความจงใจของอีลอน มัสก์ ที่ผลักดันให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยุบองค์การสำคัญนี้โดยรู้ๆกันอยู่ว่ามิได้ต้องการที่จะปฏิรูปองค์การของรัฐบาลอย่างจริงจัง แต่เป็นข้ออ้างในการล้มล้างการลงทุนของรัฐบาลที่ทำงานมาอย่างยาวนานกว่า 63 ปี ที่องค์การนี้ทำให้สหรัฐฯมีความแข็งแกร่ง มีความยิ่งใหญ่ และมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดมา อีกทั้งการสั่งยุบองค์การนี้ยังทำแบบขาดมนุษยธรรมสร้างความเดือดร้อนต่อเพื่อนร่วมโลกที่ยากไร้อีกด้วย!!!
ไม่นานประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้ออกมาตอบโต้ในทำนองที่ว่า “การช่วยเหลือต่างประเทศเป็นการสิ้นเปลือง”
แต่กลับปรากฏว่ามีนักการเมืองทั้งของค่ายพรรคเดโมแครต และค่ายพรรครีพับลิกัน ออกมากล่าวว่า “การสั่งตัดงบประมาณโครงการต่างๆขัดกับรัฐธรรมนูญ”
ในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังลดความช่วยเหลือต่อประเทศด้อยพัฒนาอย่างฉับพลัน ผู้ที่ได้รับโอกาสที่จะมาเข้าไปเติมเต็มช่องว่างแทนสหรัฐอเมริกา ก็ดูเหมือนจะเป็นประเทศจีนนั่นเอง
โดยปีที่แล้วสหรัฐอเมริกามีส่วนช่วยสนับสนุนด้านสาธารณสุขทั่วโลกเป็นเม็ดเงินราวๆ 12,000 ล้านดอลลาร์ โดยเงินก้อนนี้ถูกนำไปใช้ในการรักษาโรคเอดส์และป้องกันการติดเชื้อใหม่ ช่วยในด้านวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ หัดและปอดบวมสำหรับเด็ก ช่วยด้านน้ำสะอาดสำหรับผู้ลี้ภัย (ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์New York Times, February 22, 2025: As the U.S. Exits Foreign Aid, Wo will Fill the Gap?”)
และนอกจากนั้นแล้วยังมีโปรแกรมที่สร้างอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ต่อสหรัฐฯ ซึ่งโปรแกรมนี้ให้ข้อมูลอย่างละเอียดทางด้านสาธารณสุขแก่ประเทศต่างๆถึง 90 ประเทศทั่วโลก โดยเมื่อวันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ 2025 ปรากฏว่าโปรแกรมนี้ก็ถูกยุบลงไปด้วยเช่นกัน (ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ New York Times, วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2025 หัวข้อ: Trump Administration Ends Global Health Research Program”)
อนึ่งในการสั่งยุบองค์การ USAID ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยอีกด้วย
จากการรายงานข่าวของ “สำนักข่าวเอพี”ที่เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2025 ที่ผ่านมาในหัวข้อว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์จะยกเลิกสัญญาความช่วยเหลือต่อประเทศต่างๆมากกว่า 90% โดยผู้คนหลายล้านคนจะไม่สามารถเข้าถึงการรักษาที่จะช่วยชีวิตได้
ข้างล่างนี้เป็นโครงการสำคัญบางส่วนที่ตั้งอยู่ทั่วทุกมุมโลกทั่วโลกที่สำนักข่าวเอพี ออกมากล่าวยืนยันว่า ปิดตัวลงไปแล้ว “USAID cuts are already hitting countries around the world: AP March 1, 2025”
ประเทศไทย:โรงพยาบาลที่เคยให้ความช่วยเหลือบรรดาผู้ลี้ภัยจากเมียมาร์ ประมาณกว่าหนึ่งแสนคนก็ต้องปิดตัวลง
ประเทศบังกลาเทศ: ผู้หญิงและเด็กๆราวหกแสนคนจะสูญเสียการเข้าถึงด้านการดูแลสุขภาพ
ประเทศยูเครน: ด้านมนุษยธรรม ซึ่งจะมีผลทำให้ชาวยูเครนไม่สามารถเข้าถึงด้านการดูแลสุขภาพ
อัฟกานิสถาน: บรรดาทีมแพทย์เคลื่อนที่หลายร้อยทีมจะถูกระงับไป และส่งผลกระทบกระเทือนต่อประชากรผู้ยากไร้ถึง 9 ล้านคน
ประเทศเคนยา: ประชาชนกว่าหกแสนคนจะสูญเสียการเข้าถึงด้านอาหารอุปโภคบริโภค และด้านการสนับสนุนโภชนาการที่สามารถช่วยชีวิตได้
ประเทศเวียดนาม: โปรแกรมช่วยเหลือผู้พิการจะไม่สามารถเข้าถึงแพทย์ได้
ประเทศเยเมน ชาวเยเมนกว่า 220,000 คนที่ต้องพลัดถิ่นฐานจะสูญเสียการเข้าถึงด้านการดูแลสุขภาพของมารดาและเด็กๆ
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นชัดเจนแล้วว่าการสั่งปิดยุติองค์การสำคัญๆยักษ์ใหญ่ที่เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ฝังรากลึกแผ่ขยายเป็นทั้งแขนและเป็นขาในการสร้างความเป็นมหาอำนาจผู้ยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกาถูกตัดโค่นจนล้มครืน ซึ่งย่อมจะมีผลทำให้อิทธิพลของสหรัฐฯที่เคยมีต่อทั่วโลก จากที่เคยเป็นผู้ใหญ่ใจดี มีคุณธรรม มีแต่ให้ ขณะนี้กลับกลายเป็นผู้ใหญ่ใจร้าย ขาดคุณธรรมเห็นแก่ตัว ทำให้ความเชื่อมั่นที่นานาชาติเคยมอบให้ ขณะนี้ดูเหมือนว่าลดน้อยถอยลงไป สืบเนื่องมาจากวิสัยทัศน์ที่แสนจะมีใจคับแคบของ “อีลอน มัสก์”นั่นเอง ฉะนั้นผลเสียมากมายมหาศาลที่เกิดขึ้น ก็ย่อมจะกลายเป็นผลดีต่อประเทศจีนที่ได้รับอานิสงค์ แบบอยู่นิ่งๆความยิ่งใหญ่ก็ดันวิ่งเข้ามาชนละครับ