กมธ.มั่นคงฯ ถกปมส่ง อุยกูร์ กลับจีน โรม ซัดเดือด บอกแกว่งปากหาเสี้ยน! กล่าวหาประเทศอื่น ไม่แน่วแน่รับตัว ด้าน ทูตรัศม์ แจง กมธ.ความมั่นคง ยันส่ง อุยกูร์ กลับเป็นทางออกที่ดีที่สุด เชื่อมั่น จีน ทำตามคำมั่นสัญญา กมธ.ต่างประเทศ สว. จ่อบินตรวจสอบชะตากรรม ชาวอุยกูร์ หลังถูกส่งตัวกลับจีน พร้อมลุยสอบปมสิทธิมนุษยชนข้อสงสัยของประชาคมโลก ยันทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ประเทศชาติเต็มที่ ส่วน นายกฯโรงแรมวอนรัฐบาลพิจารณากรณี อุยกูร์ให้ถี่ถ้วน หวั่นเกิดเหตุสถานการณ์ เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว
เมื่อวันที่ 6 ก.พ.2568 เวลา 10.00 น.ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า วันนี้ได้เชิญนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รวมไปถึงสภาความมั่นคงแห่งชาติ มาชี้แจงเรื่องการส่งอุยกูร์กลับประเทศจีน แต่ปรากฏว่า ไม่ได้รับความร่วมมือ มีเพียงนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ พลตำรวจตรีปรัชญา ประสานสุข รองผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง มาชี้แจง
โดยนายรังสิมันต์ ย้ำว่า เรื่องการส่งอุยกูร์ กลับจีน ทั้งที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นศาล จะถือเป็นการละเมินอำนาจศาลหรือไม่ และมีพ.ร.บ.ป้องกันการซ้อมทรมานและการอุ้มหาย บังคับภายในประเทศด้วย ดังนั้น เรื่องนี้อาจจะกระทบต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องพิจารณา คือผลกระทบกับประเทศไทย เพราะตอนนี้เริ่มมีสถานทูตหลายประเทศประกาศแจ้งเตือนคนของประเทศเขาที่มาท่องเที่ยวในประเทศไทย ให้ระมัดระวัง ซึ่งมันเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว จึงต้องถามถึงมาตรการในการรับมือ ยอมรับว่าวันนี้เราเอาคนอุยกูร์กลับมา เป็นไปไม่ได้แล้ว ไม่สามารถเริ่มต้นอะไรใหม่ได้ แต่สิ่งที่ต้องบริหารกันต่อไปคือ ผลกระทบที่เกิดขึ้น ทางด้านสังคมและทางด้านของการก่อการร้าย รวมไปถึงด้านมิติเศรษฐกิจต่างๆ และสิ่งสำคัญคือเราอยากรู้ว่าเราได้อะไรจากการทำเรื่องนี้ เพราะราคาที่ประเทศไทยต้องจ่ายมันเป็นราคาที่แพง
เมื่อถามถึงกรณีจะมีการพาสื่อมวลชนไทยไปดูความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ 48 คน ดูแล้วมันสมเหตุสมผลหรือไม่ นายรังสิมันต์ โรม กล่าวว่า เวลาไปดูแบบนั้น มันไม่ใช่วิธีการที่นำไปสู่การตรวจสอบที่แท้จริง เพราะว่าถ้าจะมีการตรวจสอบที่แท้จริงต้องให้อิสระ แต่ตนไม่มั่นใจว่าสื่อมวลชนที่จะไปครั้งนี้จะมีอิสระหรือไม่
"ไม่ต้องไปโทษคนอื่น ว่าเขาไม่แน่วแน่ เพราะการโทษแบบนั้นเป็นการแกว่งปากหาเสี้ยน และการไปตำหนิประเทศอื่นไม่แน่วแน่แก้ไข ไม่แน่วแน่ที่จะรับ ผมงงมากว่าการพูดของคุณเป็นอะไรไปแล้ว คุณจะไปทะเลาะกับคนอื่นทำไม ก็ตอบกันตรงๆว่าทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องที่คุณกังวลว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยจีน แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้ มันมีวิธีการอย่างไรในการแก้ไข แต่คุณจะไปโทษประเทศอื่น ทั้งสหรัฐอเมริกา ตุรกี ไม่แน่วแน่เพียงพอ มันจะยิ่งทำให้เรื่องนี้เลวร้ายยิ่งขึ้น มันทำให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น" นายรังสิมันต์ กล่าว
จากนั้นนายรังสิมันต์ ได้เปิดการประชุม โดยนายรัศม์ กล่าวชี้แจงว่า การที่จีนให้คำมั่นกับทางการไทยเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่เรามี ทั้งในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เรามีกับจีนและการปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชนชาวไทย รวมทั้งเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับชาวอุยกูร์เหล่านั้น ซึ่งทั้งหมดได้ทำไปบนพื้นฐานของกฎหมาย ทั้งกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ
นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรมต.ประจำกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าชี้แจงคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ถึงผลกระทบการผลักดัน 40 ชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน ว่า การชี้แจงในวันนี้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ทุกฝ่ายร่วมมือกัน เพื่อหาข้อเท็จจริง และทางออกที่ดีให้กับประเทศชาติ โดยเฉพาะการตัดสินใจของทางการไทยในการส่งกลับชาวจีน จำนวน 40 คนกลับไปที่จีน ซึ่งเป็นคำร้องจากจีน โดยมีหนังสือยืนยัน และให้การรับรองกลับคืนสู่สังคมปกติ ซึ่งถือว่าคำมั่นของจีนนี้ เป็นสิ่งยืนยัน ที่จะไม่ทำให้ทั้ง 40 คนกลับไปสู่อันตราย จึงเป็นปัจจัยทำให้รัฐบาลไทยส่งกลับไป แม้ว่าอาจจะมีบางประเทศ ที่มีคำขออยากจะรับตัวคนเหล่านี้ไป เรื่องนี้รัฐบาลเห็นว่าทางออกที่ดีที่สุด คือการส่งตัวกลับไปยังจีน
ย้ำว่าเรื่องนี้ ไม่อยากให้เป็นประเด็นกับประเทศอื่น ๆ เนื่องจากแต่ละประเทศส่วนใหญ่มีความเข้าใจดี และเป็นมิตรกับประเทศเรา แต่เราเห็นว่า หากประเทศที่สามยินดีที่จะรับคนจีนเหล่านี้ไปจริง ก็ควรช่วยหารือเจรจากับจีน เพื่อยินดีให้ประเทศไทยส่งตัวไปยังประเทศที่สามนายรัศม์ กล่าว
เมื่อถามว่ามีความกังวลว่า การส่งตัวไปในครั้งนี้จะปลอดภัยจริงหรือไม่ นายรัศม์ กล่าวว่า เราจำเป็นต้องยึดมั่นคำพูดของมิตรประเทศเรา ซึ่งคือจีน และเรื่องนี้เป็นเพียงสมมติฐาน ซึ่งเป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล และเราจะต้องพิสูจน์กันต่อไป ทั้งไทยและจีนจะร่วมมือกันในเรื่องนี้ และจีนได้ให้คำมั่นเช่นเดียวกัน ว่าจะให้มีการติดตามไปดู และเราได้รับคำเสนอแนะจากกรรมาธิการฯ บางคน ที่เสนอมา โดยมีความเป็นไปได้ ที่จะเชิญจุฬาราชมนตรีเป็นผู้แทนไปร่วมติดตามต่อไป ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็พร้อมจะร่วมมือ เพื่อให้เรารับทราบถึงสถานะและสวัสดิภาพของคนเหล่านี้ต่อไป
เมื่อถามถึงความแตกต่างในการส่งกลับของครั้งก่อนหน้านี้กับครั้งนี้ นายรัศม์ กล่าวว่า ระยะเวลากว่า 10 ปี มีความแตกต่างกัน เนื่องจากมณฑลซินเจียง ของจีน มีความพัฒนารุดหน้าในทุกด้าน และที่สำคัญที่แตกต่างที่สุด คือมีการรับรองอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร โดยทางการจีนหลายข้อ
ด้าน นายชิบ จิตนิยม รองประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา เปิดเผยว่า นายนิรัตน์ อยู่ภักดี ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา มีดำริที่จะนำคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา เดินทางไปยังเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์เพื่อติดตามสถานการณ์ และประเมินสภาพความเป็นอยู่ ของชาวอุยกูร์ที่รัฐบาลไทยส่งกลับไปเมื่อวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งประเด็นนี้ได้รับความสนใจจากประชาคมโลก โดยเฉพาะองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และประเทศพันธมิตรของไทย
ด้านความสัมพันธ์ทางการทูตที่ไทยต้องรักษาสมดุลทางการทูตระหว่างจีน และประเทศตะวันตก ซึ่งจับตามองนโยบายของไทยเกี่ยวกับชาวอุยกูร์อย่างใกล้ชิด การเดินทางลงพื้นที่ดังกล่าวจะได้นำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์แนวทางของไทยในอนาคตเกี่ยวกับกรณีของชาวอุยกูร์ที่ยังคงอยู่ในประเทศไทย รวมถึงแนวทางการทำงานร่วมกับทางการจีน องค์กรระหว่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม และสร้างความมั่นใจให้กับประชาคมโลกว่าไทยให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชน นายชิบ กล่าว
วันเดียวกัน นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) กล่าวถึงกรณี ข่าวการส่งอุยกูร์ กลับระเทศจีนซึ่งเป็นเรื่องการทำงานของรัฐบาลที่คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสำคัญ แต่เนื่องจากในปัจจุบันข่าวสารที่เกิดขึ้นได้เผยแพร่ไปทางสื่อโซเชียลต่างๆในเวลาอันรวดเร็ว และด้วยเรื่องดังกล่าวสร้างความอ่อนไหวต่อสังคมมากๆ เพราะเกี่ยวกับความมั่นคง และความปลอดภัยของประเทศ จึงทำให้สถานทูตแต่ละประเทศในเมืองไทยเริ่มประกาศแจ้งเตือนคนในประเทศเขาที่มาท่องเที่ยว ให้ระมัดระวัง ซึ่งอาจจะเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ดังนั้นในเวลานี้จึงหวังเพียงว่า ทางรัฐบาลพิจารณาถึงกรณีนี้ให้ถี่ถ้วน รวมถึงมีมาตรการในการรับมือเมื่อสถานการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวัง
นายเทียนประสิทธิ์ ยังกล่าวต่อว่า เวลานี้ สถานทูตญี่ปุ่นในประเทศไทยออกคำเตือนถึงพลเมืองญี่ปุ่น หลังมีการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับจีนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยระบุถึงความเป็นไปได้ของภัยก่อการร้าย พร้อมยกกรณีเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ในปี 2558 เป็นตัวอย่าง