ปกรณ์วุฒิโต้มีมารยาทพอเจอผู้ใหญ่ยกมือไหว้ตลอด ปมวิวาทะ วิสุทธิ์ จ่อเสนอซักฟอก 4 วัน เลิกไม่เกิน 5 ทุ่ม ประเสริฐ มั่นใจ นายกฯ ชี้แจงฉลุย สว.สีน้ำเงิน ถกเดือด! โต้ข้อหา อั้งยี่ฟอกเงิน บอมบ์ ทวี-ดีเอสไอ ทำงานอืด-ไม่รอบคอบ ล็อกเป้าจงใจเลือกสีโจมตี ด้าน ฉัตรวรรษเปิดหน้าใส่เสื้อ น้ำเงิน เตือน ดีเอสไอ รับคดีฮั้วเลือก สว.ระวังเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ขณะที่ สว.บุญจันทร์ โวยแหลก! ถูกเขียนป้ายใส่อกยัดเยียด อั้งยี่ซ่องโจร โอดตอนนี้ถูกชี้หน้าไม่กล้าเดินแล้ว เตือนระวังโดนหมิ่นประมาท พ.ร.บ.คอมฯ
       
        เมื่อวันที่ 4 มี.ค.68 เวลา 10.00 น.ที่รัฐสภา นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงข้อถกเถียงเรื่องจำนวนวันอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า คงต้องนำไปหารือในที่ประชุมวิป 3 ฝ่ายอีกครั้ง ซึ่งที่ฝ่ายค้านเสนอ 5 วัน ส่วนที่มีคนบอกว่า ฝ่ายค้านไม่มีมารยาทมาขอ 5 วัน โดยไม่ผ่านที่ประชุม ส่วนตัว งงว่าไม่มีมารยาทตรงไหน จริงๆ เรื่องนี้มีข้อดี เพราะจะทำให้รัฐบาลได้เตรียมตัว และให้ประชาชนตื่นตัวรับรู้ไปด้วย อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่าน่าจะอยู่ที่ 4 วัน โดยอภิปรายไม่เกิน 23.00 น.ของแต่ละวัน 
       
  เมื่อถามว่านายกฯต้องชี้แจงด้วยตนเองทั้งหมดใช่หรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า คงต้องไปตีความข้อบังคับ ซึ่งมีกำหนดว่าให้นายกฯหรือรัฐมนตรีเท่านั้นที่เป็นผู้ชี้แจง 
     
    เมื่อถามถึงกรณีที่มีการตอบโต้กับนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล ผ่านโซเชียลมีเดียถึงขึ้นไม่ยกมือไหว้กันนั้น นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ที่จริงตนเป็นคนมีมารยาท เมื่อเห็นผู้ใหญ่ก็ยกมือไหว้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็ต้องบอกตามตรงว่าตนโกรธจริงๆ แต่ก็คาดหวังว่าเขาไม่ได้เจตนา
     
  ผมก็คนธรรมดา มีอารมณ์โกรธ และที่ผมโกรธไม่ใช่เรื่องส่วนตัว สิ่งที่ผมโกรธก็คือ ผมเห็นฝ่ายการเมืองที่อ้างตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยมาโดยตลอด พูดถึงการยุบพรรค พูดถึงอาวุธที่ฝ่ายเผด็จการใช้ประหัดประหารนักการเมืองที่มาจากประชาชนได้ราวกับเป็นเรื่องตลก อันนี้คือสิ่งที่ผมโกรธ ผมก็เลยตอบโต้ไปแบบนั้น นายปกรณ์วุฒิ กล่าว
      
   นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ได้พูดคุยกับนายวิสุทธิ์ แต่เมื่อเจอกันในวิป 3 ฝ่าย คงได้พูดคุยกัน การกระทบกระทั่งแบบนี้เป็นเรื่องปกติเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป แต่อาจจะเป็นบทเรียนให้ทั้ง 2 ฝ่าย ว่าการสื่อสารควรจะอยู่ประมาณไหน
       
  ด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการประชุม สส.พรรคว่า จากการที่ได้คุยกับประธานของที่ประชุม สส.พรรคเพื่อไทย จะมีการเตรียมความพร้อมการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส่วนจะมีการตั้งองครักษ์พิทักษ์นายกฯหรือไม่ ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้ว ที่สมาชิกฝ่ายรัฐบาลจะมีหน้าที่คอยช่วยดูในส่วนนี้
       
  เมื่อถามว่า จะกำชับสมาชิกให้ลุกขึ้นประท้วง หากมีการเอ่ยชื่อของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในการอภิปรายหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ต้องอยู่ข้อบังคับที่กำหนดว่า ไม่ควรเอ่ยถึงบุคคลที่ 3 โดยไม่จำเป็น และหากเอ่ยแล้วทำให้เกิดความเสียหาย ยิ่งไม่ควรเอ่ย จึงขอให้เป็นไปตามข้อบังคับ
       
  ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะที่เป็นสมาชิกพรรค มั่นใจว่านายกฯจะชี้แจงได้หรือไม่ ในฐานะนายกฯ Gen Y คนแรก นายประเสริฐ กล่าวว่า นายกฯสามารถตอบได้อยู่แล้ว แต่มีบางเรื่องที่อาจมีข้อสงสัยและต้องลงรายละเอียด จึงมอบให้รัฐมนตรีที่กำกับดูแลแต่ละกระทรวงชี้แจงแทนได้ ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับที่อนุญาตอยู่แล้ว
      
   วันเดียวกัน เมื่อเวลา 09.40 น.ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภาคนที่2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา(สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ และการเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เสนอญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย
        
 พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวชี้แจงหลักการว่า กระบวนการยุติธรรมไทยมีความล่าช้า ขาดประสิทธิภาพ อีกทั้งมีการแทรกแซงและครอบงำจากฝ่ายการเมืองในการปฏิบัติหน้าที่โดยเฉพาะการดำเนินการของกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีความผิดทางอาญาที่มีความซับซ้อน มีผลกระทบต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของผู้ต้องขัง อย่างไรก็ตาม ยังมีกรณีที่ให้สิทธิ์ผู้ต้องขังในการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งที่ผ่านมามีการดำเนินการที่มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใส ไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ผู้ต้องขังบางคนได้รับสิทธิพิเศษในการเข้ารักษาพยาบาลกว่าผู้ต้องขังผู้อื่น นอกจากนี้ ยังมีเรื่องชาวอุยกูร์ที่มีการดำเนินการที่ไม่โปร่งใสขาดความชอบธรรม เห็นได้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จนถูกประณามจากองค์กรต่างๆ ระหว่างประเทศ
      
 การดำเนินการของรมว.ยุติธรรม ขาดความรอบคอบในการพิจารณาดำเนินการตามหลักสากล ขาดความรู้ความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งจะนำมาซึ่งความเสียหายกับประเทศชาติได้ในอนาคต 
      
   พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวถึงการได้มาของสมาชิกวุฒิสภาปี 2567ว่า รมว.ยุติธรรม และอธิบดีดีเอสไอ ร่วมกันแถลงข่าว จงใจกลั่นแกล้งกล่าวหาว่าการได้มาดังกล่าว มีการฮั้ว เป็นอั้งยี่ และกระทำผิดฟอกเงิน มีความผิดความมั่นคงของชาติ สว.ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ว่าได้รับตำแหน่งมาโดยไม่ชอบทำโดยการสมยอมรวมหัวกัน เพื่อให้ได้เป็นสว. โดยไม่สุจริตและโปร่งใส เป็นการใส่ความต่อบุคคลที่ 3 ทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งฝ่ายกฎหมายวุฒิสภากำลังพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
       
  พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวว่า การกล่าวหา ให้ข่าวกับสื่อมวลชนในลักษณะเหมาเข่ง ทั้งๆ ที่อธิบดีดีอเอสไอมีอำนาจตามกฎหมายอาญาและ พ.ร.ป.คดีพิเศษ สามารถดำเนินการได้หากพบว่ามีพยานหลักฐานมากเพียงพอที่จะสืบสวนสอบสวน แต่กลับกันอธิบดีดีเอสไอกลับพยายามที่จะทำให้เป็นคดีพิเศษ โดยเฉพาะการเสนอต่อคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ (คกพ.) แต่การประชุมที่ผ่านมาเกิดปัญหาโรคเลื่อน  อ้างว่ายังไม่ได้นำเข้าการพิจารณาประชุมของอนุฯกลั่นกรอง จะเห็นได้ว่าการทำงานของอธิบดีดีเอสไอขาดความรอบคอบในการที่จะนำเสนอเรื่องเข้าบอร์ดพิจารณา ทั้งทั้งที่มีอำนาจหน้าที่ที่จะกระทำได้ แต่ยังนำเรื่องเพื่อให้บอร์ดพิจารณาให้ตนเองมีอำนาจหน้าที่ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าว่ากรณีการได้มาของ สว.เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
      
   พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวอีกว่า รมว.ยุติธรรม และอธิบดีดีเอสไอ ยังได้แถลงข่าวเป็นรายวัน เพื่อขอความชอบธรรมจากสังคม ที่จะดำเนินการสอบสวน จัดให้มีการรับเรื่องร้องเรียนเป็นรายวัน เพื่อให้เห็นว่ามีผู้ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก เป็นวงกว้างทั่วประเทศ มุ่งหวังให้สังคมเห็นว่าการได้มาของสมาชิกวุฒิสภาไม่สุจริตและเที่ยงธรรม การกระทำดังกล่าวมีการล็อกเป้าหมายในการดำเนินคดี โดยอ้างว่ามีกลุ่มสว. 138 + 2  ซึ่งตัวเลขนี้ก็ไม่ทราบว่าจะสามารถเปิดเผยหรือดำเนินคดีตามอำนาจหน้าที่ได้หรือไม่  จึงสงสัยว่าการสืบสวนสอบสวนนี้สามารถล็อกเป้ากลุ่ม สว. โดยแยกประเภทสีได้อย่างไร โดยเฉพาะการมุ่งเน้นมาที่สีน้ำเงิน
   
    วันนี้ผมใส่เสื้อสีน้ำเงินมาเพื่อขออภิปราย พร้อมที่จะรับแจ้งข้อกล่าวหาจากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหากท่านมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ท่านเคยได้ยินไหมครับ 0 มีค่ามากกว่า 1 นักคณิตศาสตร์ระดับโลกยังคิดไม่ได้ แต่มีผู้นำทางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทยสามารถที่จะคิดได้ ในการที่จะทำให้ 0 มีค่ามากกว่า 1 และได้จำนวนสมาชิกวุฒิสภาเข้ามาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งตรงนี้มีเพื่อนสมาชิกที่ได้ไปพักโรงแรมใกล้กับอิมแพค เมืองทองธานี ได้พบเห็นมีการปิดห้องประชุมรับมีผู้เข้าประชุมประมาณ 400 คนมีการแจกจ่ายเอกสารหมายเลขที่จะให้เลือก
     
  ซึ่งลักษณะเช่นนี้อธิบดีดีเอสไอ ท่านรู้หรือไม่ ได้รับการร้องเรียนหรือไม่ ท่านพอจะมีข้อมูลทำการสืบสวนเพื่อเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ ผลสุดท้ายจากการดำเนินการก็ได้ตัวเลขออกมาที่น่าสนใจคือ 21 + 24 คล้ายครึ่งกับตัวเลข 138 + 2 เพราะฉะนั้น ผมฝากปัญหาว่า 2 ตัวเลขชุดนี้ท่าน อธิบดีดีเอสไอสามารถสืบสวนสอบสวนตามที่ท่านกล่าวหาเป็นการอั้งยี่ฟอกเงินหรือไม่ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าว
       
  อย่างไรก็ดีกรณีที่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เตรียมพิจารณาคดีการฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษนั้น มีข้อโต้แย้ง ว่าการพิจารณาดังกล่าวเข้าข่ายก้าวก่ายอำนาจของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อีกทั้งไม่มีหลักฐานเพียงพอ ทั้งเส้นทางการเงิน โพย ไม่มีพยานหลักฐานชี้ชัดว่าทุจริตเลือก จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับเรื่องไว้เป็นคดีพิเศษ
      
 การดำเนินการก้าวก่ายเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่บุคคลใดจะใช้สิทธิล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นการสอบสวนคดีฮั้ว เป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต. ไม่ใช่ ของดีเอสไอ ซึ่งการที่ดีเอสไอจะสอบสวนฮั้วเลือกตั้ง สว. เป็นการกระทำนอกเหนือจากอำนาจหน้าที่ เมื่อพิจารณาแล้วหากดีเอสไอจะรับคดีฮั้วสว. เป็นคดีพิเศษต้องพิจารณาตามกฎหมายการสออบสวนคดีพิเศษ คือ คดีอาญาที่กำหนดไว้ตามมาตรา 21 และเมื่อพิจารณาแล้วคดีเลือกตั้งไม่ใช่คดีที่กำหนดไว้ในอำนาจของดีเอสไอ 
       
  ต่อมา พล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย สว.ลุกขึ้นอภิปรายว่า ตนเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยรัฐธรรมนูญ ขอให้เพื่อนสมาชิกเปิดลิ้นชักออกมา นำรัฐธรรมนูญมาอ่าน และติดตามที่ตนจะอภิปราย ที่ผ่านมาเป็นข่าวอึกทึกครึกโครมมาก ประชาชนตื่นเต้นมาก ว่าวุฒิสภาเป็นอะไร เป็นอั้งยี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นไปได้อย่างไร พวกเรามาตามบทบาทมาตามหน้าที่ มาตามครรลองของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมาตามรัฐธรรมนูญปี 2560 แต่คำกล่าวของบางคน เขียนป้ายใส่หน้าอกแล้วกล่าวหาว่าเป็นอั้งยี่ มันอะไรกันนักหนา มันคืออะไร
       
  พล.ต.ท.บุญจันทร์ กล่าวต่อว่า คำว่าอั้งยี่ เป็นการรวมกลุ่มตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป รวมตัวกันเป็นสมาคมหรือองค์กรที่กระทำความผิดทางอาญา ซึ่งหากเป็นแบบนั้น ขอให้ดีเอสไอไปตรวจสอบการเลือกตั้งทั่วประเทศเลย แบบนี้มันเป็นอั้งยี่หมดทั่วประเทศ มีความผิดหรือไม่ จินตนาการหรือไม่ว่าที่ผ่านมาเป็นอั้งยี่
    
   "ท่านบุญส่ง สมมติว่าท่านไม่สบาย ไปโรงพยาบาล โรงพยาบาลจะมีเจ้าหน้าที่ใช่หรือไม่ อยู่ไหน อะไรยังไง ป่วยเป็นอะไร แล้วส่งต่อรายละเอียดไปให้หมอเป็นคนพิจารณาใช่หรือไม่ครับ แต่ตอนนี้ดีเอสไอเป็นเพียงเจ้าหน้าที่เบื้องต้น แต่ประกาศปาวๆ ว่า สว.เป็นอั้งยี่ซ่องโจร คนทั้งประเทศแตกตื่นหมด ไปไหนมาไหนก็ถามหมด ชี้หน้าหมด ตอนนี้ไม่กล้าเดินแล้ว" พล.ต.ท.บุญจันทร์ กล่าว
        
 พล.ต.ท.บุญจันทร์ กล่าวด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ว่า เราไม่กลัวการตรวจสอบ แต่ขออนุญาต ทำงานทำหน้าที่ไป แต่อย่าเอาปากทำ อย่าพูดมาก ลิ้นมันจะพันคอ สิทธิเสรีภาพของ สว.รัฐธรรมนูญเขียนไว้ ป้องคุ้มครอง มีสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว ชื่อเสียง เกียรติยศและครอบครัว ขอฝาก รมว.ยุติธราม และอธิบดีดีเอสไอ อย่าใช้ปากทำงาน ใช้ส่วนอื่นทำ ทำหน้าที่ไป ถ้าทำไปพูดไป ความผิดจะตามมาหลายเรื่อง ยกตัวอย่าง หมิ่นประมาท ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าตอนนี้ สว.ทุกท่านที่นั่งอยู่ในห้องเกือบ 200 คน ถึงเวลาที่ต้องลุกขึ้นมายืนปกป้องสิทธิว่าพวกเรามาโดยชอบ มาโดยถูกต้อง พิสูจน์ให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้เห็น