ปฏิบัติการหักเหลี่ยมเฉือนคม ระหว่าง “เนวิน ชิดชอบ” กับ “ทักษิณ ชินวัตร” ยังเดินไปไม่ถึงฉากจบ กลิ่นอายการเมืองที่ว่าดุเดือด เข้มข้น อาจเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น อย่าลืมว่าต่างฝ่ายต่างยังมี “ไม้เด็ด” ยังมี “ไพ่ตาย” ในมือที่ยังไม่ถูกเปิดออกมา !
ทว่าในระหว่างการต่อสู้ ผลัดกันรุกไล่ จะด้วยเพราะ “ความแค้น” ฝังแน่นอยู่เป็นทุนเดิม ระหว่าง “นาย” อย่างทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี กับ “อดีตลูกน้อง” คือเนวิน ซึ่งบัดนี้เขาคือ ผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคภูมิใจไทย และ “สว.สายสีน้ำเงิน” ไม่ด้อยไปกว่า ทักษิณ ผู้มากบารมีเหนือพรรคเพื่อไทยนั้น จะพบว่า ต่างฝ่ายต่างได้แผล เหมือนกัน
ความขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพรรคภูมิใจไทย กำลังถูกจับตาว่าอาจเป็น “ชนวน” ที่สั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล “แพทองธาร 1” ให้มีอันต้องจอด ก่อนครบเทอม ในปี 2570หรือไม่ ยิ่งประเมินจากความแรงในระดับหลายริกเตอร์
เมื่อพรรคเพื่อไทย เดินเกมแรง ทั้งการไล่ตรวจสอบกรณีที่ดินสนามกอล์ฟ ของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย คือ แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ท แอนด์ คันทรี คลับ ตั้งอยู่ในอ.ปากช่อง ทับซ้อนกับที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) หรือไม่
งานนี้ทำเอา “เสี่ยหนู” อนุทิน ถึงกับควันออกหู หลุดสบถ “หน้าตัวเมีย” มาแล้วเมื่อครั้ง “ธนดล สุวัณณะฤทธิ์” ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เด็กของ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” สส.พะเยา พรรคกล้าธรรม ยกคณะลงพื้นที่ไปตรวจสอบเมื่อราวกลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา
ปัญหาการตรวจสอบที่ดินสนามกอล์ฟ ที่ปากช่อง ของอนุทิน ที่ผุดขึ้นมาชนิดไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย ถูกเชื่อมโยงว่า นี่คือผลพวงที่ก่อนหน้านี้ กระทรวงมหาดไทย ในมือของพรรคภูมิใจไทย ดันไปแหย่รังแตนกรณีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งนายกฯแพทองธาร ชินวัตร เคยครอบครอง แม้ปัจจุบันจะโอนหุ้นให้กับคนในครอบครัวไปแล้วเมื่อเข้ารับตำแหน่ง นายกฯคนที่ 31
เมื่อภูมิใจไทย เขย่าด้วยที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ จึงไม่แปลกที่จะถูกสวนคืนด้วยที่ดินสนามกอล์ฟ ของอนุทิน
ทว่าจนถึงวันนี้ดูเหมือนว่าความขัดแย้งได้ลุกลาม บานปลายออกไปผ่าน “กลไกอำนาจ” ในมือของทั้งสองฝ่าย เมื่อล่าสุดมีการจุดชนวนกรณีมีข้อร้องเรียนว่าการเลือกสว.เมื่อปี 2567 ผ่านมานั้นมีกลิ่นไม่ปกติ เพราะเกิดรายการ “ฮั้ว” กันขึ้นมา จนทำให้มีการล็อคที่นั่งสว. เกิดเป็นกลุ่มเป็นก้อน คือ “สว.สายสีน้ำเงิน” ซึ่งว่ากันว่า เชื่อมโยงกับ “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” คือ ครูใหญ่เนวิน แห่งภูมิใจไทยนั่นเอง
หลายคนรู้ดีว่า พรรคภูมิใจไทย ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลอันดับที่ 2 มีเสียงสส.ในมือ ณ วันนี้อยู่ที่ 70 สส. และยังมีสว.ในสังกัดอีกเกือบค่อนสภาฯ จึงกลายเป็น “ฐานการเมือง” ในสภาสูงที่สำคัญ เนื่องจากสว.มีอำนาจหน้าที่ในการเลือกบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ อันเป็นกลไกที่สามารถชี้เป็นชี้ตายให้กับ อดีตนายกฯทักษิณ มาแล้ว ดังนั้นการมีสว.เอาไว้ในมือ จึงยิ่งเป็นการสร้างความหวั่นไหวต่อ ทุกพรรคการเมืองที่ยืนตรงข้ามกับพรรคภูมิใจไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ 2568 สว.จะต้องเฟ้นหาบุคคลเข้าไปนั่งในคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แทนกกต. ด้วยกันถึง 5 รายที่จะพ้นวาระลง และอย่าลืมว่ากกต.คือผู้ที่มีส่วนได้ ส่วนเสียกับการจัดการเลือกตั้งทุกระดับ
การล้มโต๊ะสว.สายสีน้ำเงิน โดยพรรคเพื่อไทย หากลุล่วง จะทำให้สว.ทั้ง 138 คนหายไปทันที โดยที่ไม่จำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน แต่อย่างใด เพราะแนวทางนั้นล่าช้าและยากที่จะเกิดขึ้นได้ อีกทั้งยังเป็นการ ตอบโต้เอาคืน “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” และพรรคภูมิใจไทย เพราะก่อนหน้าที่พรรคภูมิใจไทยและสว.สีน้ำเงิน พากัน “ขวาง” เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ อันเป็นนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย
อย่างไรก็ดีการเดินหน้า เขย่าสว.สายสีน้ำเงิน ยังถูกใช้เป็น “เกมต่อรอง” ระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทย เมื่อการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ซึ่งมี “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯและรมว.กลาโหม แกนนำพรรคเพื่อไทย เป็นประธานบอร์ดกคพ. เมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา มีอันต้องเลื่อนออกไป จึงยังไม่ได้ “ข้อยุติ” ว่าบอร์ดดีเอสไอจะรับหรือไม่รับ คดีการฮั้วเลือกสว.2567 เอาไว้เป็น “คดีพิเศษ”
เมื่อวาระสำคัญต้องเจอกับโรคเลื่อน จะด้วยเพราะมีรายการ “ล็อบบี้” กรรมการบางราย จนทำให้บอร์ดประชุมไม่ครบทั้ง 22 คน หรือจะเป็นเพราะ “การต่อรอง” ยังไม่สะเด็ดน้ำ ระหว่าง “ผู้มีอิทธิพล” ทั้งฝั่งเพื่อไทยและภูมิใจไทยก็ตาม แต่อย่าลืมว่า วาระการยกระดับคดีฮั้วเลือกสว.2567 ไปสู่คดีอาญาในความผิดฐานอั้งยี่ ซ่องโจรนั้น ย่อมถูกอนุมานได้ว่าผลลัพธ์ต้องรุนแรง เรื่องนี้ ภูมิธรรม ยืนยันว่าในวันที่ 6 มี.ค.นี้บอร์ดกคพ.จะได้คำตอบว่าจะรับหรือไม่รับ
ในระหว่างทางที่ยังเดินไปไม่ถึงวันที่ 6 มี.ค.นั้น ปรากฏว่า ความเคลื่อนไหวว่าด้วยเรื่อง “ปรับครม.” กำลังโหมหนักมากขึ้น โดยมีทิศทางที่เรียกได้ว่า เป็น “ลบ” ต่อพรรคภูมิใจไทยทั้งสิ้น ทั้งมีการปล่อยข่าวว่า จะปรับพรรคภูมิใจไทยออกจากรัฐบาล ไปถึงการ “ยึดกระทรวง” คืน โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นกระทรวงเกรดเอ ซึ่งอยู่ในมืออนุทิน หัวหน้าพรรคสีน้ำเงิน
ขณะนี้ด้านหนึ่งกำลังสะท้อนว่าฟากพรรคภูมิใจไทยถูก “กดดัน” อย่างหนักทั้งตัวอนุทิน ไปถึงตัวเนวินเอง แต่อย่าลืมว่า งานนี้แม้อนุทิน จะประกาศอยู่บ่อยครั้งว่า พรรคภูมิใจไทยและตัวเขาเองนั้นเป็นแค่ “หนู” ก็ตาม แต่ใครจะการันตีให้ได้ว่า ทักษิณ จะไม่ถูกย้อนศรเอาคืน ตามมา
คดีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ คือ “จุดตาย” ที่จะถูก “ขยายแผล” โดยสว.สายสีน้ำเงินที่พร้อมจะเอาคืนด้วยการรุกกลับ จนอาจทำให้นายกฯอี๊งค์ ต้องหลุดจากเก้าอี้ตามมา เมื่อมีการขยับเตรียมพร้อม ถึงการเข้าชื่อของสว.เพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรี ของนายกฯแพทองธาร จะสิ้นสุดลงหรือไม่ กรณีที่ดินอัลไพน์
หมายความว่า สงครามระหว่างทักษิณกับเนวิน หากยังคงเดินหน้าต่อไป มีแต่จะบาดเจ็บด้วยกันทุกฝ่าย และแม้วันนี้จะ “รามือ” กันชั่วคราว แต่อย่าลืมว่าต่างฝ่ายต่างอยู่ในสภาพที่เรียกว่าถูก “มีดปักหลัง” เอาไว้ด้วยกัน
ทักษิณ กำลังถูกท้าทายและมีเดิมพันอยู่ที่ “ลูกสาว” ขณะที่เนวิน เองก็ยังต้องลุ้นว่า จะสูญเสีย “ขุมกำลัง” อย่าง “138 สว.” ในสังกัดไปด้วยหรือไม่ ยังไม่นับรวมกรณีที่ดินทั้งของอนุทิน และ “เขากระโดง” ที่บุรีรัมย์ อันมีคนในครอบครัวชิดชอบ เข้าไปเกี่ยวข้อง งานนี้จะจบลงด้วยการเจรจาบนโต๊ะ หรือสุดท้ายคือการ “ล้มกระดาน” เสียหายไปด้วยกันทุกฝ่าย !?