นายแพทย์เอกภพ หรือ หมอเอก ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก "หมอเอก Ekkapob Pianpises" ยืนยันการทำงานของ กมธ. บุหรี่ไฟฟ้าทุกคณะมีความโปร่งใส เน้นควบคุมด้วยกฎหมายไม่มีการปล่อยเสรี ย้ำการแบนบุหรี่ไฟฟ้าล้มเหลว พร้อมเปิดเอกสารผลประโยชน์และการใช้งบประมาณทับซ้อนในการควบคุมยาสูบ

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายแพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 1 จังหวัดเชียงราย และอดีตรองประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อระบบสุขภาพและติดตามการบังคับใช้กฎหมายด้านสาธารณสุข หรือ “หมอเอก” กล่าวถึงกรณีที่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเผยแพร่บทความโดยอาจารย์หมอท่านหนึ่งโจมตีคุณภาพรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย (กมธ. วิสามัญบุหรี่ไฟฟ้า) ซึ่งตนเองได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาคณะ กมธ. วิสามัญนี้ และมีการพาดพิงถึงตนเองจากการทำงานในฐานะรองประธานอนุ กมธ. ในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ผ่านมาโดยกล่าวหาเรื่องความรู้ความสามารถและประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งตนเองยืนยันว่ากระบวนการทำงานของคณะอนุกรรมาธิการทุกคณะได้รับข้อมูลจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ และภาคประชาสังคม ทั้งผู้สนับสนุนและผู้คัดค้าน ซึ่งสะท้อนมุมมองที่รอบด้าน

“ผมเข้ามาศึกษาประเด็นบุหรี่ไฟฟ้าเพราะได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวไร่ยาสูบในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมยาสูบ ได้เห็นข้อมูลว่าการใช้งบประมาณด้านสาธารณสุขยังมีข้อกังขา ทำให้ไม่สามารถลดอัตราการสูบบุหรี่ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ กฎหมายแบนบุหรี่ไฟฟ้าที่มีอยู่ก็ไม่สามารถควบคุมการระบาดและการเข้าถึงของเยาวชนได้ สอดคล้องกับความเห็นของ กมธ. วิสามัญบุหรี่ไฟฟ้าชุดล่าสุด”

เมื่อเสียงส่วนใหญ่ของ กมธ. วิสามัญบุหรี่ไฟฟ้าคณะล่าสุดเห็นว่าแนวทางที่เหมาะสมคือการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกกฎหมายเพื่อให้สามารถกำกับดูแลได้ กลุ่มเอ็นจีโอด้านสุขภาพที่ไม่เห็นด้วยกลับโจมตีรายงานผ่านสื่อต่างๆ ทั้งที่การศึกษายึดหลักวิทยาศาสตร์และคำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ในทุกมิติอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะยิ่งใกล้วันที่รายงานของ กมธ. วิสามัญบุหรี่ไฟฟ้าเข้าสู่การพิจารณาเห็นชอบโดยสภาผู้แทนราษฎรมากเท่าไหร่ ขบวนการเคลื่อนไหวกดดันการพิจารณาของ สส. และ สภาฯ ก็มี มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการโจมตีฝั่งตรงข้าม ให้ข่าวกดดันการตัดสินใจของสภาฯ เพื่อหวังให้คงการแบนบุหรี่ไฟฟ้าต่อไป

หมอเอก ชี้แจงเพิ่มเติมว่า รายงานของคณะกรรมาธิการฯ ได้เสนอแนวทาง 3 ทางเลือก ได้แก่ 1.คงสถานะบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย 2.ควบคุมเฉพาะผลิตภัณฑ์ประเภทไม่มีการเผาไหม้ (Heat-not-burn) และ 3.ควบคุมทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ประเภทไม่มีการเผาไหม้ให้ถูกกฎหมาย โดยมีมาตรการกำกับดูแลอย่างชัดเจน ซึ่งความเห็นส่วนบุคคลของกมธ. เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวทางที่ 3 แต่เป็นที่น่าสังเกตว่ากมธ.จากฝ่ายรณรงค์/เครือข่าย NGO ต้านบุหรี่ได้เวลาและโอกาสในการชี้แจงอย่างเต็มที่ มากกว่าฝ่ายที่สนับสนุนให้ควบคุมให้ถูกกฎหมาย แต่ กมธ.เสียงส่วนใหญ่ก็ยังไม่เห็นด้วยกับการคงการแบนบุหรี่ไฟฟ้าต่อไป

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่หมอเอกกล่าวถึงคือการใช้งบประมาณของกลุ่มรณรงค์ควบคุมยาสูบ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ปีละหลายพันล้านบาท และมีการเชิญหน่วยงานบางหน่วยที่ได้รับทุนจาก สสส. มาให้ข้อมูลกับ กมธ. เมื่อตรวจสอบดูแล้ว หน่วยงานดังกล่าวกลับไม่มีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้มีข้อสังเกตว่าหน่วยงานนี้ร่วมทำงานและรับงบประมาณจาก สสส. ได้อย่างไร รวมถึงมีการนำข้อมูลงานวิจัยที่ไม่ได้มาตรฐานมานำเสนอให้กับสังคมรับทราบ แต่ต่อมาได้ยอมรับในที่ประชุมว่าเป็นการสรุปผลงานวิจัยที่คาดเคลื่อน

หมอเอก ได้เผยหลักฐานว่า สสส. ใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 7.5 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 4 พันล้านบาทต่อปี แต่อัตราคนสูบบุหรี่กลับไม่ลดลงมากนัก ผู้ที่เป็นโรคอ้วนโรคเบาหวาน และจำนวนผู้ประสบอุบัติเหตุทางจราจรก็ไม่ลดลงเช่นเดียวกัน ชี้ให้เห็นว่าการรณรงค์ที่ผ่านมาไม่ได้ผลเลย เพราะ สสส. ไม่ให้ความสำคัญกับการใช้หลักวิชาการ รวมถึงมีการใช้งบประมาณที่ไม่สมเหตุสมผล เช่น โครงการสายด่วนเลิกบุหรี่ที่ได้รับเงิน 28 ล้านบาท จาก สสส. และยังสามารถเบิกค่าใช้จ่ายกับ สปสช. ได้อีกทาง แต่มีผู้ใช้บริการโทรเข้าเพียง 504 ครั้ง คิดเป็นเงินค่าใช้จ่ายครั้งละหลายหมื่นบาทต่อสาย

ระหว่างการไลฟ์สด หมอเอกยังได้ตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการพิจารณาให้ทุนสนับสนุนโครงการของ สสส. ซึ่งอาจจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งหมอเอกได้มีการนำเอกสารหลายชิ้นมานำเสนอประกอบเป็นหลักฐานด้วย

หมอเอก ยังตั้งข้อสังเกตว่าเครือข่ายรณรงค์อาจร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศแทรกแซงนโยบายของประเทศไทย เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งส่งผลต่อทิศทางนโยบายของไทยเช่นมีการเสนอให้รางวัลจากองค์การอนามัยโลกกับตนเองทั้งๆ ที่ตนเองยังไม่ได้มีผลงานอะไร เพียงแต่ไม่ต้องการให้ตนเองพูดเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า

“อยากเรียกร้องให้ประเทศไทยทบทวนนโยบายควบคุมยาสูบโดยใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และความโปร่งใส รวมทั้งตรวจสอบเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในหน่วยงานควบคุมยาสูบ เพราะเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องก้าวข้ามอิทธิพลของกลุ่มผลประโยชน์ และหาแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและเศรษฐกิจของประชาชนอย่างแท้จริง”