"สภาพัฒน์" เตือนแรงงานไทยรับมือมาตรการกีดกันการค้าสหรัฐ-หนี้ครัวเรือนขยายตัวชะลอลง-หันพึ่งหนี้นอกระบบ
เมื่อวันที่ 26 ก.พ.68 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยภาวะสังคมไทยในไตรมาส 4/67 ว่า สถานการณ์แรงงานในไตรมาส 4/67 ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 40.1 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (ไตรมาส 4/66) เล็กน้อยที่ 0.4% จากการลดลงอย่างต่อเนื่องของการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมที่ 3.6% ขณะที่ภาพรวมสาขานอกภาคเกษตรกรรม ยังขยายตัวได้ที่ 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเฉพาะสาขาโรงแรม/ภัตตาคาร ที่ขยายตัว 9.4% และสาขาการขนส่ง/เก็บสินค้าที่ขยายตัวตามการส่งออกที่ฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนสาขาการผลิต ขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.3% จากอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และอุปกรณ์ไฟฟ้า แต่การผลิตคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตยานยนต์ และการผลิตเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี การจ้างงานยังหดตัวลงต่อเนื่อง
ขณะที่ในส่วนของชั่วโมงการทำงานโดยรวมเพิ่มขึ้น โดยภาพรวมและเอกชนอยู่ที่ 42.8 และ 47.3 ชั่วโมง/สัปดาห์ ตามลำดับ โดยผู้ทำงานล่วงเวลาเพิ่มขึ้นที่ 1.5% แต่ผู้เสมือนว่างงานและผู้ทำงานต่ำระดับเพิ่มขึ้นเช่นกันที่ 1.9% และ 6.0% ตามลำดับ ขณะที่อัตราการว่างงาน ปรับเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 0.88% หรือมีผู้ว่างงานจำนวน 3.6 แสนคน ซึ่งในกลุ่มที่เคยทำงานมาก่อน ส่วนใหญ่ออกมาจากสาขาการผลิต และสาขาการขายส่ง/ขายปลีก ภาพรวมปี 2567 อัตราการมีงานทำอยู่ที่ 98.6% ทรงตัวจากปี 2566 โดยจำนวนผู้มีงานทำ มีจำนวน 39.8 ล้านคน ลดลงเล็กน้อยจากปี 66 ที่ 0.3% ขณะที่อัตราการว่างงาน ในปี 2567 อยู่ที่ 1%
สำหรับประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังและให้ความสำคัญ ได้แก่ 1.การกีดกันทางการค้าในรูปแบบภาษี และไม่ใช่ภาษีจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออก และการจ้างงาน ซึ่งไทยถือเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก จากการที่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี สมัยที่ 2 ของสหรัฐอเมริกา อีกทั้งไทยยังมีประเด็นด้านการจัดการการค้ามนุษย์ ที่ได้รับการจัดอันดับรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกาให้อยู่ในระดับ Tier 2 มาตั้งแต่ปี 2565 มาตรการสหรัฐฯ ที่พุ่งเป้ามาที่ประเทศไทยจริง ๆ ยังไม่ออกมา แต่จะออกมาในภาพใหญ่ เช่น ขึ้นภาษีเหล็ก และอะลูมิเนียม โดยสินค้าที่ไทยส่งไปสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา และมีการเติบโตสูง ส่วนใหญ่จะเป็นคอมพิวเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้น ต้องดูมาตรการต่อไปว่าจะมีมาตรการที่เฉพาะเจาะจงมาที่ประเทศไทยหรือไม่ ทั้งนี้ภาครัฐของไทยเอง ก็ได้เตรียมการถ้าสหรัฐฯ เริ่มมีความชัดเจนเรื่องมาตรการ ก็ต้องมีการเจรจาว่าจะลดผลกระทบอย่างไร
2.การตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างชาติ เพื่อป้องกันการทำงานอย่างผิดกฏหมาย ซึ่งแม้ว่าไทยจะมีมาตรการนำเข้าและต่ออายุแรงงานต่างด้าวตาม MOU แต่ยังพบการกระทำผิดของสถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าวเป็นจำนวนมาก เรื่องการจ้างงานแรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย ง่าย ๆ คือถ้าเข้ามาทำงานผิดกฏหมาย มาแย่งงานคนไทย ก็จับ และผลักดันออก
3.แรงงานหญิงที่ตั้งครรภ์จำนวนมากยังไม่ได้ใช้สิทธิลาคลอดเต็มจำนวน โดยเฉลี่ยใช้เพียง 30-59 วัน จากสิทธิวันลาคลอดทั้งสิ้น 98 วัน เนื่องจากต้องการรายได้/โอที รวมทั้งการกลัวถูกลดโบนัส แม้ว่าองค์การอนามัยโลก จะสนับสนุนให้บุตรได้ทานนมแม่ต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือนก็ตาม
ในส่วนของนโยบายการปรับขึ้นค่าแรง 400 บาททั่วประเทศ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ จะส่งต่อภาพรวมแรงงานอย่างไรนั้น นายดนุชา มองว่า การขึ้นค่าแรงต้องดูตามทักษะแรงงานมากกว่าขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเลย ซึ่งถ้าจะมีการปรับขึ้นค่าแรงในช่วงถัดไป ก็น่าจะต้องมีการพูดคุยกันค่อนข้างเยอะในไตรภาคี และต้องหาจุดร่วมให้ได้
"ตอนนี้ค่าแรงของไทย ถ้าเปรียบเทียบประเทศอื่น ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องความสามารถในการแข่งขัน ถ้าค่าแรงสูง แต่มี skill สูงตามไปด้วย คิดว่าผู้ประกอบการน่าจะไม่มีประเด็น แต่ถ้าค่าแรงสูง แต่ skill แรงงานไม่สูง ก็ต้องดูว่าจะเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ด้วยสภาพเศรษฐกิจในขณะนี้" นายดนุชา กล่าว
สำหรับหนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 3/67 ว่า หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 16.34 ล้านล้านบาท ขยายตัว 0.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งการชะลอตัวดังกล่าว ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ปรับลดลงมาอยู่ที่ 89% อย่างไรก็ดี การปรับลดลงของสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ไม่ได้สะท้อนถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ลดลง แต่เกิดจากการชะลอตัวของหนี้ครัวเรือนเมื่อเทียบกับอัตราขยายตัวของ GDP ดังนั้น หากหนี้สินครัวเรือน และ GDP ขยายตัวในอัตราที่ต่ำทั้งคู่ต่อไป จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของรายได้ครัวเรือน และความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนในระยะถัดไป
ขณะที่ด้านคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนปรับลดลงต่อเนื่อง โดยมูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) ในฐานข้อมูลเครดิตบูโร มีจำนวน 1.16 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 8.46% เพิ่มขึ้นจาก 8.01% ของไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อเพื่อการเกษตร
"สินเชื่อบัตรเครดิต เรื่อง Minimum payment ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ดูอยู่แล้ว โดยมองว่า ส่วนที่เป็นปัญหามาจากรายได้ และหนี้ของผู้กู้ ที่อาจไม่ได้มีแค่หนี้ครัวเรือน ไม่ใช่เพียงหนี้ที่อยู่อาศัย อาจมีหนี้เพื่อการอุปโภคอื่นด้วย จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีการขยายตัวของหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค และหนี้เสีย" นายดนุชา กล่าว
นอกจากนี้ มีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่ 1.การประชาสัมพันธ์ให้ลูกหนี้ที่มีปัญหาเข้าร่วมโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" โดยโครงการดังกล่าว คาดว่าจะช่วยลูกหนี้รายย่อยและ SMEs ขนาดเล็ก จำนวน 2.1 ล้านบัญชี 1.9 ล้านราย แต่ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมไม่มาก มองว่าแม้ธนาคารพาณิชย์จะเร่งประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงลูกหนี้เป็นรายบุคคลอยู่แล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกหนี้ด้วย เพราะมีเงื่อนไขหนึ่งว่าถ้าเข้าโครงการแล้วในระยะเวลาที่ร่วมในโครงการจะไม่สามารถก่อหนี้ใหม่ได้ ซึ่งอาจทำให้กลุ่มเป้าหมายที่รัฐต้องการให้เข้าโครงการหยุดชะงัก อย่างไรก็ดี มองว่าเงื่อนไขดังกล่าวเป็นเงื่อนไขที่จำเป็น เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาให้ได้ตามวัตถุประสงค์โครงการ ดังนั้นในส่วนนี้ต้องมีการทำความเข้าใจมากขึ้น พยายามทำให้ลูกหนี้เห็นประโยชน์ในการเข้าโครงการ และทำกระบวนการในแง่การพูดคุยก่อนเข้าโครงการให้สะดวกมากกว่านี้ ทั้งนี้ รายละเอียดได้คุยกับ ธปท.แล้ว ซึ่ง ธปท.รับทราบเรื่องนี้ และอยู่ระหว่างปรับปรุงมาตรการ และประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ส่วนภาครัฐต้องพยายามทำให้มาตรการนั้นครอบคลุมในส่วนของ Non-Bank ด้วย
2.การสร้างความตระหนักรู้ทางการเงิน เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อจากภัยการเงิน เนื่องจากปัจจุบันพบมิจฉาชีพหลอกลวงผ่านคำโฆษณาชวนเชื่ออาทิ ปิดหนี้ให้ ไม่คิดดอก ดอกต่ำมาก หรือเข้ามาช่วยปิดหนี้ให้แล้วชักชวนลงทุน ซึ่งสร้างความเสียหายต่อลูกหนี้เป็นจำนวนมาก
3.การติดตามความคืบหน้าการแก้ไข พ.ร.บ.ล้มละลายฯ ซึ่งเป็นกฎหมายที่จะมีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาหนี้ของลูกหนี้รายย่อย ให้สามารถเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูหนี้สิน โดยการเจรจาเพื่อไกล่เกลี่ยหนี้กับเจ้าหนี้หลายรายในคราวเดียว ซึ่งจะช่วยลดจำนวนลูกหนี้ที่จะเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องล้มละลายและถูกยึดทรัพย์
สำหรับแนวโน้มหนี้ครัวเรือนในระยะต่อไป นายดนุชา มองว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 1/68 และไตรมาส 2/68 น่าจะยังขยายตัวได้ ซึ่งหนี้ครัวเรือนยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย จากมาตรการที่ออกมาในขณะนี้ทั้งมาตรการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) หรือการแก้ปัญหาหนี้เสียต่างๆ แต่มองว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP น่าจะลดลงเรื่อยๆ
"เศรษฐกิจโลกขณะนี้ ด้วยมาตรการที่ทรัมป์จะออกมาหลายอย่าง มีกำหนดเวลา ผลกระทบที่ออกมา ยังไม่ได้ส่งผลต่อไทยขนาดนั้น ดังนั้น ยังต้องจับตาต่อไป อย่างไรก็ดี ในเรื่องการค้าการส่งออก มองว่า กระทรวงพาณิชย์ก็เร่งทำตลาดใหม่ เร่งขยายตลาดส่งออกให้เพิ่มเติม"นายดนุชากล่าว
ส่วนขณะนี้ถึงเวลาที่จะผ่อนปรนหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือนำมาตรการ LTV มาใช้แล้วหรือไม่นั้น นายดนุชา ให้ความเห็นว่า ด้วยสภาพตลาด และกำลังซื้อของคนที่กำลังถดถอยลง ดังนั้น LTV จะมีหรือไม่มีต้องดูข้อมูลให้รอบด้าน โดยมองว่าส่วนใหญ่เป็นปัญหาเรื่องรายได้ ทั้งนี้ถ้าภาคอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวได้ดีขึ้นจะมีผลต่อเนื่องกับการผลิตใน sector อื่นๆอีกหลายตัว
#แรงงานไทย #หนี้นอกระบบ #ข่าววันนี้ #กีดกันการค้า #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์