BTG บริษัทอาหารครบวงจรชั้นนำของไทย ประกาศผลการดำเนินงานปี 67 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยรายได้รวม 114,942.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% จากปีก่อน และสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 2,466.2 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าสู่ปี 68 วางงบลงทุน 4,800 บาท ขับเคลื่อนธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 3-7%  

เมื่อวันที่ 26 ก.พ.68 นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ “BTG” เปิดเผยว่า ภาพรวมของธุรกิจเบทาโกรในปี 2567 เป็นปีที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวรับมือความท้าทายทางเศรษฐกิจและสภาวะตลาดที่ผันผวน ผ่านการดำเนินกลยุทธ์ที่รอบคอบและการบริหารจัดการองค์กรที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทในปี 2567 (ม.ค.-ธ.ค.) อยู่ที่ 114,942.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน  ที่สามารถขยายตลาดได้อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่อความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้นทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ และการบริหารพอร์ตการขายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งราคาไก่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการส่งออกที่ยังเติบโตดีต่อเนื่อง และราคาสุกรฟื้นตัวขึ้นจากสถานการณ์การลักลอบนำเข้าชิ้นส่วนและเนื้อสุกรที่คลี่คลายลง ส่งผลให้รายได้และปริมาณจากการขายเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ รายได้จากกลุ่มธุรกิจเกษตรยังเติบโตจากการขยายกำลังการผลิตของบริษัทฯ ที่โรงงานผลิตอาหารสัตว์แห่งใหม่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งแล้วเสร็จและเริ่มเดินหน้าการผลิตในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 โดยโรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิตกว่า 400,000 ตันต่อปี เพิ่มขึ้น 10% ส่งผลให้สามารถรองรับความต้องการของตลาดได้ดียิ่งขึ้น

ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2567 อยู่ที่ระดับ 2,466.2 ล้านบาท ฟื้นตัวจากขาดทุนสุทธิที่ระดับ 1,398.2 ล้านบาท ในปี 2566 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้นของบริษัทฯ ในปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 15,401.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น42.1% จาก 10,837.6 ล้านบาทในปี 2566 และอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2567 อยู่ที่ 13.5% เพิ่มขึ้นจาก 10.0% ในปี 2566 โดยหลักเป็นผลจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงตามราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ อีกทั้งบริษัทฯ ยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายและบริหารต่อรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการลดลงจาก 10.7%  ในปี 2566 เหลือ 10.5% ในปี 2567 นอกจากนี้ TRIS Rating ยังคงอันดับเครดิตของเบทาโกรที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ศักยภาพการดำเนินธุรกิจ และโอกาสเติบโตของบริษัทฯ รวมทั้งโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่ง

สำหรับปี 2568  เบทาโกรมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ “บริษัทอาหารครบวงจรชั้นนำของไทยที่มุ่งมั่นเพิ่มคุณค่าชีวิตทุกคน ด้วยอาหารที่ดีกว่า” วางแผนงบลงทุนประมาณ 4,800 ล้านบาท เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยดำเนินงานผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

1) การขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ (International expansion) มุ่งขยายธุรกิจไปยังประเทศที่มีศักยภาพสูง ผ่านการควบรวมกิจการ (M&A) และการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเร่งการขยายตลาด 

2) การปรับพอร์ตสินค้าเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร (Product and Channel Mix Optimization) มุ่งเน้นบริหารจัดการผลิตภัณฑ์และช่องทางการจัดจำหน่าย ไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรที่สูงขึ้น เพื่อเพิ่มรายได้และส่วนแบ่งการตลาด

3) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารจัดการต้นทุนตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Cost Transformation) มุ่งปรับปรุงกระบวนการผลิตและลดต้นทุนผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการออกแบบกระบวนการใหม่ เพื่อเพิ่มผลผลิตให้มีคุณภาพและผลิตภาพ รวมถึงเพิ่มความสามารถในการทำกำไรที่ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์ว่าราคาหมูและไก่จะฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2567 ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ยังมีแนวโน้มลดลง อีกทั้งภาคการส่งออกคาดว่าจะเติบโตได้ดีจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในตลาดยุโรป โดยเชื่อมั่นว่ารายได้ของเบทาโกรจะสามารถเติบโตได้ 3-7% ตามเป้าหมาย

ขณะเดียวกัน เบทาโกรยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 บริษัทฯ มุ่งยกระดับมาตรฐาน ESG (Environmental, Social, and Governance) ให้สอดคล้องกับ FTSE Russell ESG Scores ซึ่งสืบเนื่องจากความสำเร็จในปี 2567 ที่ได้รับการประเมิน SET ESG Ratings จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในระดับสูงสุด “AAA” เป็นปีแรก และเป็น 1 ใน 56 บริษัทที่ได้รับการจัดเรตติ้งระดับสูงสุด สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเบทาโกรในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม โปร่งใส และเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

“ด้วยศักยภาพทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง กลยุทธ์การดำเนินงานที่ชัดเจน และความมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืน เบทาโกรพร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน และขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคตอย่างยั่งยืน” นายวสิษฐ กล่าว