นับตั้งแต่ พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ได้นำระบบสหกรณ์มาเผยแพร่ในประเทศไทย และทรงเป็นนายทะเบียนสหกรณ์ (พระองค์แรก) ได้มีการรับจดทะเบียนเป็นสหกรณ์แห่งแรก เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2459 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 109 ปี เป็นบทพิสูจน์ได้ว่า ความสามัคคี ความจริงใจของกลุ่มคน เพื่อร่วมกันคิดร่วมกันทำ และร่วมกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ตามรูปแบบของสหกรณ์ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกสาขาอาชีพให้มีความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างแท้จริง
นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า สหกรณ์ในประเทศไทยเติบโตขึ้นโดยลำดับ ปัจจุบันมีสหกรณ์ทั่วประเทศ จำนวน 6,192 แห่ง โดยส่งเสริมสร้างความเข้มแข็ง 4 มิติ ได้แก่ 1.ความสามารถในการให้บริการสมาชิก 2.ประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ 3.ประสิทธิภาพในการจัดการองค์กร 4.ประสิทธิภาพของการบริหารงาน ทำให้สหกรณ์ในภาคการเกษตรที่ได้ลำดับชั้นที่ 1และ 2 เพิ่มขึ้น เป็นร้อยละ 47.62 สหกรณ์นอกภาคการเกษตรได้ลำดับชั้นที่ 1 และ 2 เพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 58.94 และจะผลักดันให้สหกรณ์ในชั้น 2 และ 3 ปรับลำดับชั้นเพิ่มขึ้นให้ได้ เพื่อให้สหกรณ์มีความมั่นคง เป็นที่พึ่งให้กับสมาชิกสหกรณ์ทั่วประเทศกว่า 11.7 ล้านราย
สำหรับแนวทางการขับเคลื่อนสหกรณ์ปี 2568 นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ เปิดเผยว่า ได้มุ่งเน้นให้สหกรณ์ภาคการเกษตร ส่งเสริมให้สมาชิกผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานรองรับ เช่น ส่งเสริมและพัฒนาสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น (GI) ผลักดันสู่สินค้าเกษตรมูลค่าสูง ตามนโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ให้สมาชิกสหกรณ์” รวมทั้งเชื่อมโยงกับสหกรณ์นอกภาคการเกษตร นำสินค้าขั้นพื้นฐานและสินค้าแปรรูปมาจำหน่ายในร้านสหกรณ์ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 6,000 กว่าล้านบาท สนับสนุนด้วยเงินกองทุนพัฒนาสหกรณ์ โดยตั้งเป้าการสนับสนุนให้ถึง 5,000 ล้านบาท เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในสหกรณ์ และมูลค่าเพิ่มของธุรกิจสหกรณ์กว่า 20,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ได้จัดอบรมทีมโค้ชร่วมกับสหกรณ์ที่มีปัญหาหนี้สินของสมาชิก ซึ่งเป็นหนี้ครัวเรือน ส่งเสริมอาชีพ ส่งเสริมการทำเกษตรผสมผสานเพื่อให้มีรายได้ต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาสามารถแก้ไขปัญหาได้ประมาณเกือบแสนราย และจะขยายต่อไป ส่วนกลุ่มสหกรณ์นอกภาคการเกษตร มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ขยายระยะเวลาชำระหนี้ ให้เงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ และนำหุ้นมาเป็นส่วนหนึ่งในการค้ำประกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้เกษียณอายุที่มีปัญหา ภายใต้หลักธรรมาภิบาล เพื่อการบริหารจัดการองค์กรโปร่งใส และป้องกันการทุจริตที่จะเกิดขึ้นในสหกรณ์
รวมทั้งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้กับสมาชิกสหกรณ์ โดยจัดตั้งศูนย์ Corel Banking ซึ่งเป็นศูนย์รวมข้อมูลของสหกรณ์เพื่อการบริหารจัดการ ร่วมกับกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติในการเชื่อมโยงข้อมูล เพื่อดูศักยภาพของสมาชิกในการกู้ยืมเงินจากสหกรณ์และนำข้อมูล มาบริหารจัดการโดยศูนย์วิเคราะห์และติดตามสถานการณ์ทางการเงินสหกรณ์ ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ส่งเสริมให้สหกรณ์ใช้ “แอปพลิเคชั่น” ในการดูข้อมูลแบบเรียลไทม์ของสมาชิก ขณะนี้สามารถทำไปได้ 50% ของสหกรณ์ที่มีอยู่
“ ถึงแม้เราจะบอกว่าสหกรณ์เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรแต่การดำเนินธุรกิจต้องมีกำไรถึงจะอยู่ได้ เงินของสมาชิกไม่หาย เมื่อลาออก หรือหมดความจำเป็นใช้สหกรณ์ในการดูแลคุณภาพชีวิต ต้องคืนเงินให้เขา ถ้าอยู่ก็ได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของเงินปันผล ดอกเบี้ย เงินเฉลี่ยคืน สวัสดิการต่าง ๆ ที่สหกรณ์จัดให้กับสมาชิก”อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าว
ตลอดระยะเวลา 109 ปี ในการจัดตั้งสหกรณ์ในประเทศไทย กรมส่งเสริมสหกรณ์ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาระบบสหกรณ์ตามแผนพัฒนาการสหกรณ์ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566-2570) ภายใต้วิสัยทัศน์ สหกรณ์เข้มแข็งและเป็นองค์กรสมรรถนะสูงด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทย ซึ่งทำให้ภาพรวมปริมาณธุรกิจสหกรณ์เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2567 ยอดรวมอยู่ที่ 2.7 ล้านล้านบาท ดังนั้น ระบบสหกรณ์ ถือเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก นำไปสู่สหกรณ์เข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน